นางหลิวเจ็บหนักจนต้องพักรักษาตัวอยู่บนเตียงนานถึงเจ็ดวัน
ในช่วงเวลาเจ็ดวันนี้ โจวหลานซิ่วยังคงด่าทอเว่ยหยางอยู่ตามเคย แต่ไม่มีใครกล้าลงมือทำร้ายนาง ดังนั้นวันคืนจึงผ่านไปอย่างสบายพอควร
และด้วยความช่วยเหลือจากนางหม่า นางก็ได้กินอาหารจนอิ่มเอมทุกมื้อ
เมื่อเห็นว่าเว่ยหยางซักผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว
โจวหลานซิ่วก็เดินมายื่นถังใส่อาหารหมูให้นาง "ไปให้อาหารหมูซะ!"
ในหมูบ้านชนบทเช่นนี้
การให้อาหารหมูถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญ
ปกตินางหลิวจะไม่ยอมให้ใครทำนอกจากบุตรสาว แต่เนื่องจากตอนนี้นางหลิวออกมาจัดการงานอะไรไม่ได้
โจวหลานซิ่วจึงรีบโยนงานให้เว่ยหยางตามเคย
หลี่เว่ยหยางยิ้มรับ
"ได้ค่ะพี่หลานซิ่ว"
ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
หลี่เว่ยหยางรับถังใส่อาหารนั้นมา แล้วเดินหิ้วไปทางเล้าหมู
บ้านสกุลโจวเลี้ยงสุกรไว้ทั้งหมดแปดตัว รอยยิ้มของเว่ยหยางยังไม่จางจากใบหน้ายามที่นางจ้องดูบรรดาสุกรในเล้า
นางหยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะตักอาหารในถังขึ้นมาใส่ในรางทัพพีหนึ่ง เหล่าสุกรก็รีบมาแย่งกินอาหารในรางนั้นทันที
หลี่เว่ยหยางมองดูพวกมันทั้งผลักทั้งดันกันแย่งเศษอาหารแล้วก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น
นางมองซ้ายขวาก่อนจะวางถังใส่อาหารลงแล้วเปิดประตูเล้าปล่อยหมูออกมา สุกรทั้งแปดตัวถูกขังอยู่ในคอกเล็กๆมานาน
พอได้รับอิสระก็รีบวิ่งหนีไปตัวละทิศละทางทันที
หลี่เว่ยหยางยืนหลบไปด้านข้างไม่ให้ตัวเองถูกชน
พอเห็นเหล่าสุกรหนีไปหมดแล้วก็เผยอยิ้มออกมา
นางยกถังอาหารขึ้นแล้วแอบออกจากบ้านไปทางรั้วประตูหลัง
นางเดินอ้อมมาจนถึงบ่อน้ำที่คนในหมู่บ้านใช้ตักน้ำดื่มกินแล้วเทอาหารหมูลงไปทั้งถัง
นางยิ้มเย็นขณะมองดูน้ำกระเพื่อมจากการตกกระทบของเศษอาหาร
มีคนเดินผ่านไปมาสองสามคน
แต่เว่ยหยางก็ไม่สนใจพูดคุยกับพวกเขา พวกเขาหยุดมองนางแปลกๆอยู่ชั่วครู่แล้วก็เดินจากไป
หลี่เว่ยหยางเงยหน้ามองแสงตะวัน นางตัดสินใจนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นแล้วคอยมองไปยังทางเข้าหมู่บ้าน
หลังจากรอได้ครึ่งชั่วยาม
นางก็เห็นท่านอาจารย์หวังกับผู้ใหญ่บ้านเดินทอดน่องมาทางที่นางนั่งอยู่
บ่อน้ำแห่งนี้เป็นจุดที่ทุกคนต้องเดินผ่านยามกลับเข้ามาในหมู่บ้าน
ทีแรกนางตั้งใจจะรอเพียงหัวหน้าหมู่บ้าน แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้พบอาจารย์หวังด้วย อาจารย์หวังท่านนี้เป็นบัณฑิตเพียงคนเดียวของหมู่บ้าน
แม้เขาจะสอบเข้ารับราชการไม่ผ่านมาหลายปี แต่อย่างไรเสียก็เป็นเพียงคนเดียวในหมู่บ้านแห่งนี้ที่อ่านออกเขียนได้
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเป็นผู้ที่รู้จักใช้เหตุและผล
มักจะเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทย์รวมถึงตัดสินคดีความให้คนในหมู่บ้าน จนสร้างสมชื่อเสียงในทางที่ดีอยู่พอควร
หลี่เว่ยหยางรีบลุกขึ้นยืน
นางทำเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วจ้องมองบ่อน้ำด้วยสีหน้าหวาดหวั่น
เมื่อผู้ใหญ่บ้านเดินผ่านนางจึงมองมาด้วยความสงสัย
"แม่นางหลี่ ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ?"
ผู้ใหญ่บ้านเพียงแต่ถามเป็นมารยาทเท่านั้น
แต่หลี่เว่ยหยางกลับเงยหน้ามองเขาด้วยท่าทางโศกเศร้าและวิตกกังวล นางตอบ
"พี่หลานซิ่วบอกให้ข้านำอาหารมาให้พวกหมู ข้าไม่ทันระวัง
ซุ่มซ่ามจนทำอาหารหมูตกลงไปในบ่อน้ำเสียหมด ข้าควรทำเช่นไรดี ข้าควรทำเช่นไร...
คืนนี้ข้าคงถูกเฆี่ยนตายเป็นแน่!"
ผู้ใหญ่บ้านตกใจ "อะไรนะ? ท่านทำอะไรนะ?"
หลี่เว่ยหยางปั้นสีหน้าสับสนและตกใจ
นางระเบิดเสียงร้องไห้ออกมา เมื่อคนอื่นมองมาจึงรู้สึกสงสารและเห็นใจ
"ข้าควรทำเช่นไรดี ข้าควรทำเช่นไร! ข้าต้องถูกเฆี่ยนตายแน่นอนแล้ว
ข้าต้องตายแน่! ข้าไม่กล้ากลับไปบ้านแล้ว
ข้าควรจะโดดบ่อน้ำตายไปเสียเลยดีกว่า!" ว่าแล้วนางก็ปีนขึ้นไปบนบ่อ
ทำหน้าเหมือนจะกระโดดลงไปจริงๆ
หัวหน้าหมู่บ้านแตกตื่นใหญ่
เขาคิดแต่ว่าหากมีคนโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตายจริงๆ
คนในหมู่บ้านคงไม่อาจใช้น้ำบ่อนี้ดื่มกินได้อีก เขารีบพุ่งมาจับตัวนางไว้
"แม่นาง ข้าขอร้องท่าน อย่าทำเช่นนี้เลย! เรามาคุยกันก่อนเถอะ!"
อาจารย์หวังสังเกตการณ์อยู่เงียบๆสักพักแล้ว
เขาลูบหนวดแล้วถาม "เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? เท่าที่ข้ารู้มา
ท่านอาศัยอยู่ในบ้านพวกเขาจริง แต่พวกเขาก็ได้รับค่าเลี้ยงดูทุกเดือนนี่นา
แล้วเหตุใดจึงมาสั่งให้ท่านมาให้อาหารสุกรเช่นนี้ได้?"
หลี่เว่ยหยางใช้ชายแขนเสื้อเช็ดหน้า
สีหน้าเศร้าหมอง "ก่อนหน้านี้ ครอบครัวของข้าส่งเงิน 10
ตำลึงมาให้ทุกเดือนตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้ส่งมาให้..."
"อะไรนะ?! เงิน 10 ตำลึงทุกเดือนเชียวหรือ?!"
อาจารย์หวังสะดุ้งตกใจ เขาสอนวิชาให้กับคนในหมู่บ้าน แต่ปีหนึ่งๆ
แทบจะไม่มีนักเรียนคนใดสามารถจ่ายเงินสัก 2 ตำลึงมาช่วยซ่อมแซมโรงเรียนด้วยซ้ำ!
นี่มันไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ! เขาสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วมองหลี่เว่ยหยาง
พลางคิดว่าครอบครัวสกุลโจวช่างโลภมากนัก เงิน 10 ตำลึงทุกเดือนตลอดระยะเวลาห้าปี
รวมแล้วก็เป็นเงินถึง 600 ตำลึง เลี้ยงเด็กผู้หญิงสักคนจะใช้เงินเท่าไรกันเชียว!
ถึงพวกเขาจะต้องดูแลนางไปทั้งชีวิตก็ยังใช้เงินไม่ถึง 600
ตำลึงด้วยซ้ำ! แล้วนี่พวกเขายังกล้าปฎิบัติกับนางราวกับเป็นคนรับใช้
ให้นางทำงานรองมือรองเท้าอีก ทำเกินไปแล้ว! หน้าตาเขาถมึงทึง
โมโหกับความอยุติธรรมเช่นนี้ "มาเถอะ! เราต้องไปขอคำอธิบายจากพวกสกุลโจวหน่อยแล้ว!"
ผู้ใหญ่บ้านเองก็คิดว่าบ้านสกุลโจวทำเกินไป
พอเห็นบัณฑิตประจำหมู่บ้านถลันออกไปก็รีบวิ่งตาม แต่เขายังอุตส่าห์ไม่ลืมหลี่เว่ยหยาง
หันคอมาร้องเรียกนาง "มาเถอะแม่นาง! อย่าร้องไห้อีกเลย!"
หลี่เว่ยหยางเช็ดน้ำตาปลอมๆแล้วรีบเดินตามหลังพวกเขาไป
ขณะนั้นเอง นางได้ยินเสียงหัวเราะขบขันที่แฝงสำเนียงเสียดสีในที
นางหยุดหันมองแต่ไม่เห็นเงาร่างสักคน หรือนางอาจจะหูฝาดไปเอง? หลี่เว่ยหยางขมวดคิ้ว นางได้ยินเสียงผู้ใหญ่บ้านร้องเรียกอีก
มองรอบกายจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร นางจึงออกเดินตามไป
นางคงจะหูฝาดไปเองจริงๆ
พอผ่านเข้าประตูรั้วมา
อาจารย์หวังก็ร้องเรียกเสียงดัง "โจวชิง! ออกมาเดี๋ยวนี้!
พวกเจ้ากล้าสั่งให้สตรีจากเมืองหลวงไปให้อาหารหมูได้อย่างไร?
นางไม่ใช่คนรับใช้คอยรองมือรองเท้าพวกเจ้านะ!"
โจวชิงรีบวิ่งออกมาจากห้อง
พอเห็นเหตุการณ์ด้านนอกก็ตะลึงงันไป
ผู้ใหญ่บ้านกล่าวเสริม "นั่นสิ ถึงนางจะอาศัยบ้านเจ้า
แต่ก็ได้ให้ค่าเลี้ยงดูทุกเดือน พวกเจ้ารับเงินแล้วก็ไม่ควรมาข่มเหงนาง
บังคับให้นางต้องทำงานหนักอีก!"
ตอนนั้นเอง
นางหม่ากับโจวหลานซิ่วก็โผล่หน้าออกมา จ้องมองดูหลี่เว่ยหยางด้วยความตกใจ
หลี่เว่ยหยางกล่าวอย่างน่าสงสาร
"ท่านลุงผู้ใหญ่บ้าน ข้าเป็นคนอาสาช่วยงานพี่หลานซิ่วเองค่ะ อย่าโทษนางเลย
นางไม่ได้บังคับให้ข้าทำอะไรทั้งนั้น! เป็นความผิดข้าเอง
ทีแรกข้าแค่คิดว่าถังมันสกปรกเกินไป ไม่ควรให้หมูในเล้ากินอาหารสกปรก
จึงได้เอาไปทำความสะอาดที่บ่อน้ำ สุดท้าย
เพราะข้าไม่ระวังถึงได้ทำอาหารหมูตกลงไปในบ่อเสียหมด เป็นความผิดข้าเอง! ข้ามันซุ่มซ่าม งานง่ายๆแค่นี้ก็ยังทำไม่ได้!"
ผู้ใหญ่บ้านเหลือบมองโจวชิงแล้วกล่าว
"เจ้านี่มัน... เจ้าสั่งให้นางไปให้อาหารหมู แต่นางเป็นสตรีชั้นสูงจากเมืองหลวง
นางจะรู้วิธีจัดการงานพวกนี้ได้อย่างไร! ไม่ต้องพูดถึงว่า
นางอาศัยอยู่บ้านเจ้าแต่ก็จ่ายค่าดูแลมาตลอด ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ส่งเงินมาให้อีก
แต่จำนวนเงินที่เจ้าได้รับมาก็มากพอจะเลี้ยงดูนางไปอีก 80 ปีด้วยซ้ำ! เจ้าไม่ควรทำเหมือนนางเป็นคนรับใช้เช่นนี้!"
เพื่อเลี่ยงการถูกนินทาและทำให้ชื่อสกุลโจวต้องมัวหมอง
นางหลิวจึงมักจะดุด่าตบตีคนเฉพาะภายในบ้านเท่านั้น ส่วนโจวชิงก็เพียงแค่ทำเมินไปทางอื่น
โชคร้ายที่วันนี้มีทั้งผู้ใหญ่บ้านและบัณฑิตที่คนในหมู่บ้านนับถือ
พวกเพื่อนบ้านก็ออกมามุงดูเหตุการณ์
นับเป็นเรื่องเสื่อมเกียรติแก่โจวชิงเป็นอย่างมาก
เขาหมุนตัวไปเตะโจวหลานซิ่วอย่างโหดร้าย "นังตัวขี้เกียจ! ข้าบอกให้เจ้าไปให้อาหารหมู เจ้ากลับโยนให้นางทำ นางจะรู้วิธีได้อย่างไร!"
หลี่เว่ยหยางก้มศีรษะท่าทางเสียใจ ในสายตาคนนอก
นางดูน่าสงสารยิ่งนัก ถึงแม้คนในหมู่บ้านจะชอบนินทาเว่ยหยางด้วยความอิจฉาในความงามของนาง
แต่พวกเขาก็ยังซื่อนัก ต่างเห็นว่า ในเมื่อสกุลโจวรับเงินจากคนตระกูลหลี่มาตั้งมากมายแล้วก็ควรจะดูแลเด็กสาวอย่างดี
ไม่ควรจะข่มเหงรังแกนางเช่นนี้
ยิ่งถูกเพื่อนบ้านจับผิด
โจวชิงยิ่งไม่อาจควบคุมอารมณ์ตนได้ เขาตบหน้าบุตรสาวเสียงดัง
"เพราะเจ้าคนเดียวก่อปัญหาให้ข้า!"
หลี่เว่ยหยางมองดูเหตุการณ์พลางคิด นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น
และแน่นอน หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ พวกเขาก็ได้ยินเสียงโจวเจียงวิ่งมาสีหน้าแตกตื่น
เขาตะโกนบอก "ท่านพ่อ! พวกหมู! พวกหมูหลุดออกจากเล้าไปหมดแล้วครับ!"