วันอังคารที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

[องค์หญิงเว่ยหยาง] บทที่ 5 - สุกรหลุดจากคอก


นางหลิวเจ็บหนักจนต้องพักรักษาตัวอยู่บนเตียงนานถึงเจ็ดวัน ในช่วงเวลาเจ็ดวันนี้ โจวหลานซิ่วยังคงด่าทอเว่ยหยางอยู่ตามเคย แต่ไม่มีใครกล้าลงมือทำร้ายนาง ดังนั้นวันคืนจึงผ่านไปอย่างสบายพอควร และด้วยความช่วยเหลือจากนางหม่า นางก็ได้กินอาหารจนอิ่มเอมทุกมื้อ

เมื่อเห็นว่าเว่ยหยางซักผ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว โจวหลานซิ่วก็เดินมายื่นถังใส่อาหารหมูให้นาง "ไปให้อาหารหมูซะ!"

ในหมูบ้านชนบทเช่นนี้ การให้อาหารหมูถือเป็นหน้าที่รับผิดชอบที่สำคัญ ปกตินางหลิวจะไม่ยอมให้ใครทำนอกจากบุตรสาว แต่เนื่องจากตอนนี้นางหลิวออกมาจัดการงานอะไรไม่ได้ โจวหลานซิ่วจึงรีบโยนงานให้เว่ยหยางตามเคย

หลี่เว่ยหยางยิ้มรับ "ได้ค่ะพี่หลานซิ่ว"

ด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม หลี่เว่ยหยางรับถังใส่อาหารนั้นมา แล้วเดินหิ้วไปทางเล้าหมู

บ้านสกุลโจวเลี้ยงสุกรไว้ทั้งหมดแปดตัว รอยยิ้มของเว่ยหยางยังไม่จางจากใบหน้ายามที่นางจ้องดูบรรดาสุกรในเล้า นางหยุดคิดเล็กน้อยก่อนจะตักอาหารในถังขึ้นมาใส่ในรางทัพพีหนึ่ง เหล่าสุกรก็รีบมาแย่งกินอาหารในรางนั้นทันที หลี่เว่ยหยางมองดูพวกมันทั้งผลักทั้งดันกันแย่งเศษอาหารแล้วก็เกิดความคิดหนึ่งขึ้น นางมองซ้ายขวาก่อนจะวางถังใส่อาหารลงแล้วเปิดประตูเล้าปล่อยหมูออกมา สุกรทั้งแปดตัวถูกขังอยู่ในคอกเล็กๆมานาน พอได้รับอิสระก็รีบวิ่งหนีไปตัวละทิศละทางทันที

หลี่เว่ยหยางยืนหลบไปด้านข้างไม่ให้ตัวเองถูกชน พอเห็นเหล่าสุกรหนีไปหมดแล้วก็เผยอยิ้มออกมา นางยกถังอาหารขึ้นแล้วแอบออกจากบ้านไปทางรั้วประตูหลัง นางเดินอ้อมมาจนถึงบ่อน้ำที่คนในหมู่บ้านใช้ตักน้ำดื่มกินแล้วเทอาหารหมูลงไปทั้งถัง นางยิ้มเย็นขณะมองดูน้ำกระเพื่อมจากการตกกระทบของเศษอาหาร

มีคนเดินผ่านไปมาสองสามคน แต่เว่ยหยางก็ไม่สนใจพูดคุยกับพวกเขา พวกเขาหยุดมองนางแปลกๆอยู่ชั่วครู่แล้วก็เดินจากไป หลี่เว่ยหยางเงยหน้ามองแสงตะวัน นางตัดสินใจนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นแล้วคอยมองไปยังทางเข้าหมู่บ้าน

หลังจากรอได้ครึ่งชั่วยาม นางก็เห็นท่านอาจารย์หวังกับผู้ใหญ่บ้านเดินทอดน่องมาทางที่นางนั่งอยู่

บ่อน้ำแห่งนี้เป็นจุดที่ทุกคนต้องเดินผ่านยามกลับเข้ามาในหมู่บ้าน ทีแรกนางตั้งใจจะรอเพียงหัวหน้าหมู่บ้าน แต่คาดไม่ถึงว่าจะได้พบอาจารย์หวังด้วย อาจารย์หวังท่านนี้เป็นบัณฑิตเพียงคนเดียวของหมู่บ้าน แม้เขาจะสอบเข้ารับราชการไม่ผ่านมาหลายปี แต่อย่างไรเสียก็เป็นเพียงคนเดียวในหมู่บ้านแห่งนี้ที่อ่านออกเขียนได้ ด้วยเหตุนี้ เขาจึงเป็นผู้ที่รู้จักใช้เหตุและผล มักจะเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยข้อพิพาทย์รวมถึงตัดสินคดีความให้คนในหมู่บ้าน จนสร้างสมชื่อเสียงในทางที่ดีอยู่พอควร

หลี่เว่ยหยางรีบลุกขึ้นยืน นางทำเช็ดหน้าเช็ดตาแล้วจ้องมองบ่อน้ำด้วยสีหน้าหวาดหวั่น

เมื่อผู้ใหญ่บ้านเดินผ่านนางจึงมองมาด้วยความสงสัย "แม่นางหลี่ ท่านมาทำอะไรที่นี่หรือ?"

ผู้ใหญ่บ้านเพียงแต่ถามเป็นมารยาทเท่านั้น แต่หลี่เว่ยหยางกลับเงยหน้ามองเขาด้วยท่าทางโศกเศร้าและวิตกกังวล นางตอบ "พี่หลานซิ่วบอกให้ข้านำอาหารมาให้พวกหมู ข้าไม่ทันระวัง ซุ่มซ่ามจนทำอาหารหมูตกลงไปในบ่อน้ำเสียหมด ข้าควรทำเช่นไรดี ข้าควรทำเช่นไร... คืนนี้ข้าคงถูกเฆี่ยนตายเป็นแน่!"

ผู้ใหญ่บ้านตกใจ "อะไรนะ? ท่านทำอะไรนะ?"

หลี่เว่ยหยางปั้นสีหน้าสับสนและตกใจ นางระเบิดเสียงร้องไห้ออกมา เมื่อคนอื่นมองมาจึงรู้สึกสงสารและเห็นใจ "ข้าควรทำเช่นไรดี ข้าควรทำเช่นไร! ข้าต้องถูกเฆี่ยนตายแน่นอนแล้ว ข้าต้องตายแน่! ข้าไม่กล้ากลับไปบ้านแล้ว ข้าควรจะโดดบ่อน้ำตายไปเสียเลยดีกว่า!" ว่าแล้วนางก็ปีนขึ้นไปบนบ่อ ทำหน้าเหมือนจะกระโดดลงไปจริงๆ

หัวหน้าหมู่บ้านแตกตื่นใหญ่ เขาคิดแต่ว่าหากมีคนโดดบ่อน้ำฆ่าตัวตายจริงๆ คนในหมู่บ้านคงไม่อาจใช้น้ำบ่อนี้ดื่มกินได้อีก เขารีบพุ่งมาจับตัวนางไว้ "แม่นาง ข้าขอร้องท่าน อย่าทำเช่นนี้เลย! เรามาคุยกันก่อนเถอะ!"

อาจารย์หวังสังเกตการณ์อยู่เงียบๆสักพักแล้ว เขาลูบหนวดแล้วถาม "เกิดเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? เท่าที่ข้ารู้มา ท่านอาศัยอยู่ในบ้านพวกเขาจริง แต่พวกเขาก็ได้รับค่าเลี้ยงดูทุกเดือนนี่นา แล้วเหตุใดจึงมาสั่งให้ท่านมาให้อาหารสุกรเช่นนี้ได้?"

หลี่เว่ยหยางใช้ชายแขนเสื้อเช็ดหน้า สีหน้าเศร้าหมอง "ก่อนหน้านี้ ครอบครัวของข้าส่งเงิน 10 ตำลึงมาให้ทุกเดือนตลอดระยะเวลาห้าปีที่ผ่านมา แต่ตอนนี้พวกเขาไม่ได้ส่งมาให้..."

"อะไรนะ?! เงิน 10 ตำลึงทุกเดือนเชียวหรือ?!" อาจารย์หวังสะดุ้งตกใจ เขาสอนวิชาให้กับคนในหมู่บ้าน แต่ปีหนึ่งๆ แทบจะไม่มีนักเรียนคนใดสามารถจ่ายเงินสัก 2 ตำลึงมาช่วยซ่อมแซมโรงเรียนด้วยซ้ำ! นี่มันไม่ยุติธรรมเลยจริงๆ! เขาสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่แล้วมองหลี่เว่ยหยาง พลางคิดว่าครอบครัวสกุลโจวช่างโลภมากนัก เงิน 10 ตำลึงทุกเดือนตลอดระยะเวลาห้าปี รวมแล้วก็เป็นเงินถึง 600 ตำลึง เลี้ยงเด็กผู้หญิงสักคนจะใช้เงินเท่าไรกันเชียว! ถึงพวกเขาจะต้องดูแลนางไปทั้งชีวิตก็ยังใช้เงินไม่ถึง 600 ตำลึงด้วยซ้ำ! แล้วนี่พวกเขายังกล้าปฎิบัติกับนางราวกับเป็นคนรับใช้ ให้นางทำงานรองมือรองเท้าอีก ทำเกินไปแล้ว! หน้าตาเขาถมึงทึง โมโหกับความอยุติธรรมเช่นนี้ "มาเถอะ! เราต้องไปขอคำอธิบายจากพวกสกุลโจวหน่อยแล้ว!"

ผู้ใหญ่บ้านเองก็คิดว่าบ้านสกุลโจวทำเกินไป พอเห็นบัณฑิตประจำหมู่บ้านถลันออกไปก็รีบวิ่งตาม แต่เขายังอุตส่าห์ไม่ลืมหลี่เว่ยหยาง หันคอมาร้องเรียกนาง "มาเถอะแม่นาง! อย่าร้องไห้อีกเลย!"

หลี่เว่ยหยางเช็ดน้ำตาปลอมๆแล้วรีบเดินตามหลังพวกเขาไป

ขณะนั้นเอง นางได้ยินเสียงหัวเราะขบขันที่แฝงสำเนียงเสียดสีในที นางหยุดหันมองแต่ไม่เห็นเงาร่างสักคน หรือนางอาจจะหูฝาดไปเอง? หลี่เว่ยหยางขมวดคิ้ว นางได้ยินเสียงผู้ใหญ่บ้านร้องเรียกอีก มองรอบกายจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีใคร นางจึงออกเดินตามไป

นางคงจะหูฝาดไปเองจริงๆ

พอผ่านเข้าประตูรั้วมา อาจารย์หวังก็ร้องเรียกเสียงดัง "โจวชิง! ออกมาเดี๋ยวนี้! พวกเจ้ากล้าสั่งให้สตรีจากเมืองหลวงไปให้อาหารหมูได้อย่างไร? นางไม่ใช่คนรับใช้คอยรองมือรองเท้าพวกเจ้านะ!"

โจวชิงรีบวิ่งออกมาจากห้อง พอเห็นเหตุการณ์ด้านนอกก็ตะลึงงันไป

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวเสริม "นั่นสิ ถึงนางจะอาศัยบ้านเจ้า แต่ก็ได้ให้ค่าเลี้ยงดูทุกเดือน พวกเจ้ารับเงินแล้วก็ไม่ควรมาข่มเหงนาง บังคับให้นางต้องทำงานหนักอีก!"

ตอนนั้นเอง นางหม่ากับโจวหลานซิ่วก็โผล่หน้าออกมา จ้องมองดูหลี่เว่ยหยางด้วยความตกใจ

หลี่เว่ยหยางกล่าวอย่างน่าสงสาร "ท่านลุงผู้ใหญ่บ้าน ข้าเป็นคนอาสาช่วยงานพี่หลานซิ่วเองค่ะ อย่าโทษนางเลย นางไม่ได้บังคับให้ข้าทำอะไรทั้งนั้น! เป็นความผิดข้าเอง ทีแรกข้าแค่คิดว่าถังมันสกปรกเกินไป ไม่ควรให้หมูในเล้ากินอาหารสกปรก จึงได้เอาไปทำความสะอาดที่บ่อน้ำ สุดท้าย เพราะข้าไม่ระวังถึงได้ทำอาหารหมูตกลงไปในบ่อเสียหมด เป็นความผิดข้าเอง! ข้ามันซุ่มซ่าม งานง่ายๆแค่นี้ก็ยังทำไม่ได้!"

ผู้ใหญ่บ้านเหลือบมองโจวชิงแล้วกล่าว "เจ้านี่มัน... เจ้าสั่งให้นางไปให้อาหารหมู แต่นางเป็นสตรีชั้นสูงจากเมืองหลวง นางจะรู้วิธีจัดการงานพวกนี้ได้อย่างไร! ไม่ต้องพูดถึงว่า นางอาศัยอยู่บ้านเจ้าแต่ก็จ่ายค่าดูแลมาตลอด ถึงแม้พวกเขาจะไม่ได้ส่งเงินมาให้อีก แต่จำนวนเงินที่เจ้าได้รับมาก็มากพอจะเลี้ยงดูนางไปอีก 80 ปีด้วยซ้ำ! เจ้าไม่ควรทำเหมือนนางเป็นคนรับใช้เช่นนี้!"

เพื่อเลี่ยงการถูกนินทาและทำให้ชื่อสกุลโจวต้องมัวหมอง นางหลิวจึงมักจะดุด่าตบตีคนเฉพาะภายในบ้านเท่านั้น ส่วนโจวชิงก็เพียงแค่ทำเมินไปทางอื่น โชคร้ายที่วันนี้มีทั้งผู้ใหญ่บ้านและบัณฑิตที่คนในหมู่บ้านนับถือ พวกเพื่อนบ้านก็ออกมามุงดูเหตุการณ์

นับเป็นเรื่องเสื่อมเกียรติแก่โจวชิงเป็นอย่างมาก เขาหมุนตัวไปเตะโจวหลานซิ่วอย่างโหดร้าย "นังตัวขี้เกียจ! ข้าบอกให้เจ้าไปให้อาหารหมู เจ้ากลับโยนให้นางทำ นางจะรู้วิธีได้อย่างไร!"

หลี่เว่ยหยางก้มศีรษะท่าทางเสียใจ ในสายตาคนนอก นางดูน่าสงสารยิ่งนัก ถึงแม้คนในหมู่บ้านจะชอบนินทาเว่ยหยางด้วยความอิจฉาในความงามของนาง แต่พวกเขาก็ยังซื่อนัก ต่างเห็นว่า ในเมื่อสกุลโจวรับเงินจากคนตระกูลหลี่มาตั้งมากมายแล้วก็ควรจะดูแลเด็กสาวอย่างดี ไม่ควรจะข่มเหงรังแกนางเช่นนี้

ยิ่งถูกเพื่อนบ้านจับผิด โจวชิงยิ่งไม่อาจควบคุมอารมณ์ตนได้ เขาตบหน้าบุตรสาวเสียงดัง "เพราะเจ้าคนเดียวก่อปัญหาให้ข้า!"

หลี่เว่ยหยางมองดูเหตุการณ์พลางคิด นี่มันแค่เริ่มต้นเท่านั้น

และแน่นอน หลังจากนั้นเพียงชั่วครู่ พวกเขาก็ได้ยินเสียงโจวเจียงวิ่งมาสีหน้าแตกตื่น เขาตะโกนบอก "ท่านพ่อ! พวกหมู! พวกหมูหลุดออกจากเล้าไปหมดแล้วครับ!"



วันศุกร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2560

[องค์หญิงเว่ยหยาง] บทที่ 4 - ลงทัณฑ์นางหลิว

เมื่อเทียบกับภรรยาของเขาแล้ว โจวชิงเป็นชายที่รู้จักมองการณ์ไกลกว่า เขารู้จักเหลือทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง จึงได้ปฎิบัติต่อหลี่เว่ยหยางอย่างดีเสมอมา เพราะฉะนั้น ทุกคราที่เขากลับมาบ้าน เว่ยหยางจะได้อยู่อย่างสงบไปหลายวัน

หลังจากเตรียมอาหารเรียบร้อยแล้ว เว่ยหยางก็ดับไฟ ดวงตานางพร่ามัวด้วยควันฟืน สักพักหนึ่งนางจึงค่อยลุกขึ้น ขณะกำลังบีบนวดแขนขาที่เมื่อยล้าอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังเข้ามา

"ยัยตัวดี เอาแต่ขี้เกียจอีกแล้ว ยังไม่รีบทำความสะอาดครัวอีก! เดี๋ยวถ้าข้ากลับมาแล้วเจ้ายังขี้เกียจอยู่อีกละก็น่าดู!"

หลี่เว่ยหยางเหลือบตามองเด็กสาวที่ยืนเท้าเอวจ้องมองนางอยู่ตรงประตู เด็กสาวผู้นี้อายุมากกว่านางเพียงปีเดียวเท่านั้น แต่กลับสูงกว่านางเกือบหนึ่งช่วงศีรษะ ใบหน้าของเด็กหญิงหมดจด ทว่าพฤติกรรมของนางน่ารังเกียจจนทำลายความงามตามธรรมชาติของนาง

โจวหลานซิ่วจับจ้องเรือนร่างอรชรและท่าทีสง่างามของหลี่เว่ยหยางด้วยความริษยา นางส่งเสียงฮึแล้วหมุนกายเตรียมเดินจากไป พลางออกคำสั่งข้ามไหล่มา "อย่าลืมล้างหม้อไหให้สะอาดด้วยนะ พื้นก็ต้องเช็ดอย่าให้เหลือคราบน้ำ แล้วข้าวของพวกนี้ก็เก็บให้เรียบร้อยด้วย"

หลี่เว่ยหยางยืนอยู่กลางครัว นางมองตามหลังเด็กสาวแล้วเผยยิ้มออกมา ครึ่งชั่วยามต่อมานางจึงล้างหม้อไหเสร็จเรียบร้อย แล้วก้มตัวลงมือเช็ดพื้นต่อ

ตอนนั้นเอง โจวหลานซิ่วชะโงกศีรษะผ่านหน้าต่างเข้ามา "เจ้าเช็ดอย่างนั้นแล้วเมื่อไรมันจะสะอาด คุกเข่าลงเช็ดดีๆสิ! ทำไมถึงโง่เง่าอย่างนี้นะ! น้ำในโอ่งก็หมดแล้ว เช็ดพื้นเสร็จแล้วก็ไปหาบน้ำมาด้วย ได้ยินไหม?"

หลี่เว่ยหยางเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากและคาง แล้วลงมือทำงานต่อ

มันมักจะเป็นเช่นนี้มาตลอด ความจริงโจวหลานซิ่วที่มีฐานะเป็นแค่ลูกสาวชาวไร่ชาวนา ควรต้องทำงานหนักเช่นกัน แต่นางกลับหาเรื่องโยนงานให้เว่ยหยางทำเสมอ พองานเสร็จจึงโผล่หน้ามารับความดีความชอบ นางมักจะแกล้งบ่นเสมอว่าตนเองเหน็ดเหนื่อยวุ่นวายเพียงใด โอดครวญว่านางต้องลำบากคอยดูแลคุณหนูหลี่ที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง 

ไม่เพียงเท่านั้น อาหารแต่ละมื้อของเว่ยหยางมีเพียงแค่ขนมปังแข็งๆสองก้อน กับซุปเพียงเล็กน้อย ก่อนหน้านี้ หลี่เว่ยหยางมักจะร้องไห้คร่ำครวญยามที่ต้องทำงานหนัก แต่ตอนนี้ นางไม่สนใจเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว ไม่ว่างานจะหนักหนาสาหัสเพียงใด นางก็ยังทนไหว

คืนนั้น โจวชิงไม่ได้อยู่ทานมื้อเย็นที่บ้าน เขาถูกเชิญไปทานข้าวที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน คนดูแลสวนอย่างเขามีอยู่มากมายที่คฤหาสน์สกุลหลี่แห่งพิงเฉิง แต่ในหมู่บ้านเล็กๆเช่นนี้ ตำแหน่งของเขาก็มีคนนับหน้าถือตาอยู่พอสมควร

หลี่เว่ยหยางทราบดีว่าโจวชิงเป็นคนดื่มเหล้าเก่ง เขามักจะดื่มจนเลยเที่ยงคืนไปแล้วถึงกลับมาบ้าน จึงเป็นโอกาสดีที่นางจะทำตามแผน นางนับเวลาคอยจนเกือบเที่ยงคืนแล้วหยิบผ้าแดงที่แอบเก็บซ่อนไว้ตอนไปซักผ้าออกมา นางเปิดประตูเดินออกไปที่รั้ว ผูกผ้าแดงนั้นไว้แล้วยืนจ้องมองมันอยู่นาน เว่ยหยางหัวเราะเบาๆก่อนจะรีบกลับเข้าบ้านไป

กลางดึกคืนนั้น ประตูรั้วถูกผลักเปิดออก หลี่เว่ยหยางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ นางได้ยินเสียงพูดคุยแต่ก็แกล้งหลับทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร

ชั่วเวลานั้นเอง โจวชิงก็เมามายกลับมาบ้าน ทันเห็นชายร่างสูงใหญ่อยู่ในห้องนอนของตน สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดสร่างเมาทันที คว้ามีดได้ก็เตะประตูห้องเปิดออก

เสียงนั้นดังจนปลุกทุกคนในบ้าน เว้นเพียงหลี่เว่ยหยางที่ยังนอนปิดตาเงียบเงี่ยหูฟังสถานการณ์ภายนอก    

นางได้ยินเสียงเนื้อกระทบเนื้อเหมือนใครบางคนถูกตบหน้าอย่างแรง จากนั้นจึงได้ยินเสียงโจวชิงตะโกนลั่น

"นังหญิงสำส่อน เจ้าอาศัยช่วงที่ข้าไม่อยู่บ้าน แอบพาชายชู้ขึ้นเตียง! เจ้าไม่มียางอายบ้างหรือ! อะไรนะ? เจ้าบอกว่าเจ้าไม่รู้เรื่องงั้นหรือ? ข้าเห็นชายชู้วิ่งออกมาจากห้องเจ้ากับตา ยังกล้าหน้าด้านบอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรอีกหรือ ถ้าวันนึงมันมาฆ่าข้า เจ้าก็คงจะบอกว่าไม่รู้เรื่องเหมือนกันสินะ"

สิ้นสุดคำพูดนั้น ก็มีเสียงตบอีกสองฉาด แน่นอนว่าผู้ที่กำลังถูกสั่งสอนอยู่ก็คือนางหลิว

ไม่คิดจะฟังคำแก้ต่างของภรรยา โจวชิงตวาดอีก "คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้! บอกข้ามาว่าชายชู้นั่นเป็นใคร! ถ้าเจ้าไม่ยอมพูด คืนนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!"

จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงนางหลิวร้องไห้อ้อนวอน "ข้าถูกปรักปรำ! ข้าจะทำตัวไร้ยางอายเช่นนั้นได้อย่างไร?"

ในห้องนั้น โจวชิงถ่มน้ำลายใส่นางหลิวแล้วว่าต่อ "ถูกปรักปรำหรือ? ใครจะต้องการปรักปรำเจ้า? ใครในที่นี้ที่มีความแค้นจนคิดปรักปรำเจ้า?" เขาลงมือตบตีนางอีก

นางหลิวไม่ยอมแพ้ นางคว้าแขนเสื้อสามีไว้ข้างหนึ่งแล้วสู้กลับ

โจวชิงยิ่งโมโหหนัก เขาใช้มือเพียงข้างเดียวจิกผมนางหลิว แล้วลากนางไปตามพื้น ทั้งตบตีและด่าว่านางไปพร้อมกัน "เจ้าทำให้ชื่อเสียงสกุลโจวต้องมัวหมอง!"

ในความเป็นจริง นางหลิวได้แอบคบชู้สู่ชายจริงๆ พวกเขาจะแอบนัดพบกันยามที่สามีและลูกชายนางไม่อยู่บ้าน ผ้าแดงบนรั้วนั้นเป็นรหัสลับของพวกเขา คืนนี้นางไม่ได้เป็นคนผูกผ้าแดงแต่ชู้รักกลับเข้ามาหาถึงในบ้าน ขณะที่นางกำลังพาชายชู้ออกไปทางประตูหลัง สามีก็กลับมาถึงบ้านเสียก่อน

ยามนี้ อกนางราวกับมีธนูเป็นพันดอกปักอยู่ นางไม่อาจหลบหลีกการทุบตีของโจวชิงได้เลย จึงรวบรวมกำลังวิ่งหนี

โจวชิงคำราม "นังแพศยา กลับมานี่นะ!"

เขาวิ่งตามนางมาถึงตรงลานบ้านแล้วจิกผมนางไว้ นางหลิวร้องครางแล้วล้มตัวลงพื้น

โจวชิงกำลังจะลงมือสั่งสอนนางต่อ แต่โจวเจียงบุตรชายวิ่งออกมาห้าม "ท่านพ่อ ท่านพ่อ! หยุดก่อน หยุดเถอะครับ! ท่านแม่ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่! กลับเข้าบ้านไปคุยกันก่อนเถิด!"

นางหลิวได้ยินดังนั้นก็เข้าใจความหมายของลูกชายทันที นางระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาอีก ตั้งใจให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้นจนโจวชิงไม่กล้าทำรุนแรง "ท่านดื่มเหล้าเมากลับมาบ้านจนเห็นภาพหลอนไปเองแล้วอยู่ๆท่านก็จะมาใส่ร้ายข้า!"

โจวชิงหัวเราเยาะ "ใส่ร้ายเจ้า? ข้าเนี่ยนะ! คืนนี้ข้าดื่มเหล้าไปแค่ครึ่งไหเท่านั้น ไม่ได้เมาจนแยกชายหญิงไม่ออกแน่! ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าแก่ปูนนี้แล้วยังกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้อีก หลายปีมานี้ข้าไม่ค่อยได้กลับบ้าน ไม่รู้ว่าเจ้าพาชายชู้มาเริงรักกันกี่ครั้งแล้ว! ยังจะมาแกล้งตีหน้าซื่อต่อหน้าข้าอีกหรือ?"

"ได้ หากท่านไม่เชื่อ ข้าก็จะฆ่าตัวตายให้ดู! ข้าตายไปก็ขอให้รู้ไว้ว่าเป็นเพราะถูกท่านบีบบังคับ!" นางหลิวเป็นหญิงยโส นางกระโดดลุกขึ้นตั้งใจจะเอาศีรษะชนกำแพง

แต่โจวชิงไวกว่า รีบคว้าแขนทั้งสองข้างของนางไว้ "เจ้ากล้าขู่ข้าด้วยการฆ่าตัวตายงั้นหรือ?" เขาเหวี่ยงนางลงพื้นแล้วเตะเข้าที่อก ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห เขาหมุนตัวหยิบสลักประตูได้ก็เอามาทุบตีนางหลิวอีก

เสียงครวญครางของนางหลิวไม่ต่างจากหมูที่กำลังถูกเชือด ดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ          

หลี่เว่ยหยางพลิกตัวบนเตียง มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย นี่สิถึงเรียกว่า บาปที่เรากวักมือเรียกหาเองนั้นเลวร้ายที่สุด

เสียงดังเอะอะโวยวายทำให้เพื่อนบ้านเปิดรั้วออกมาดูเหตุการณ์

นางหม่ากับโจวหลานซิ่วนั้นยังคงอยู่ในห้องของตน ทั้งคู่ได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว แต่นางหม่าเป็นเพียงสะใภ้ ไหนเลยจะกล้าเข้าไปยุ่งกับเรื่องอื้อฉาวในครอบครัว ส่วนโจวหลานซิ่วอยากจะออกไปช่วยมารดา แต่เมื่อเห็นสายตาอำมหิตของบิดาแล้ว นางก็ไม่กล้าขยับออกจากห้อง

โจวเจียงมองดูรอบข้างแล้วก็รีบเข้าไปห้ามโจวชิง เขากล่าวเสียงดัง "ท่านพ่อ ท่านแค่ดื่มมากไป ยามนี้ก็ดึกมากแล้ว อย่าก่อเรื่องวุ่นวายรบกวนเพื่อนบ้านเลยครับ" กล่าวจบเขาก็เดินมาคว้าสลักประตูไปแล้วดึงบิดามาด้านข้าง กระซิบบอก "ท่านพ่อ ใจเย็นแล้วค่อยพูดกันเถิด ถ้าท่านอยากจะลงไม้ลงมือก็ควรทำในบ้าน อย่าให้เพื่อนบ้านต้องมาเห็นเรื่องน่าอายเช่นนี้เลย"

โจวชิงมองดูนางหม่า เขาทุบตีนางจนนางได้แต่นอนหอบหายใจ แต่ความแค้นก็ยังไม่ดับมอด เขายกขาเตะบุตรชายอย่างแรง "ข้าไม่อยู่ เจ้ากลับดูแลบ้านไม่ได้ ปล่อยให้เรื่องน่าอายแบบนี้เกิดขึ้น! ลากนางเข้ามา!"

โจวเจียงระงับความโกรธแล้วช่วยพยุงมารดาเข้าบ้าน นางหลิวเป็นคนหยิ่งยโส ถึงจะโดนทุบตีปางตายก็ยังปากแข็งยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ ร้องไห้คร่ำครวญไม่ยอมหยุด

ครู่ต่อมา เสียงดุด่าของโจวชิงก็ดังขึ้นอีก "หุบปาก! ดึกป่านนี้แล้ว เลิกคร่ำครวญอย่างกับใครจะตายเสียที!"

เสียงร้องเงียบลงในฉับพลัน


ได้ยินดังนั้น หลี่เว่ยหยางก็ไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไป.

วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560

[องค์หญิงเว่ยหยาง] บทที่ 3 - มื้ออาหารแสนสมถะ


วันนี้เป็นวันที่ 12 เดือนกุมภาพันธ์ ในปีที่ 31 แห่งรัชสมัยหยงหมิง นางได้ย้อนเวลากลับมา 23 ปี ในขณะที่ตนเองอายุได้ 13 ปี

คืนนั้นทั้งคืน หลี่เว่ยหยางต้องตรอมตรมกับความทรงจำจาก "ชาติปางก่อน" ของตัวเอง นางไม่อาจร้องไห้ฟูมฟายได้เพราะห้องที่อาศัยนั้นช่างคับแคบ เสียงร้องเพียงแผ่วเบาก็อาจทำให้คนอื่นในบ้านได้ยิน นางจึงได้แต่กลั้นสะอื้นไว้ นางหวาดหวั่นเหลือเกินว่า หากหลับตาลงแล้วตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางอาจจะกลับไปเป็นหญิงขาด้วนที่ถูกทิ้งไว้ในตำหนักเย็น นางเข็ดขยาดกับชื่อคนสกุลหลี่นัก เว้นแต่ยามที่นางนึกถึงสองคนนั้นที่นางเกลียดที่สุด สองคนนั้นที่เสวยสุขอยู่ในเมืองหลวง นางเจ็บใจจนอยากจะสับพวกมันเป็นหมื่นๆชิ้น

หลังจากร้องไห้ระบายความคับแค้นใจออกไปจนน้ำตาแห้งเหือด นางก็ค่อยสงบลง หลี่เว่ยหยางมองผ่านหน้าต่างห้องนอนไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงตาของนางทั้งดำมืดและเดียวดาย

เมื่อชาติที่แล้ว นางเคยเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำหน้าที่ของตนให้ดี รู้จักหน้าที่ของตนแล้วทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถ แล้วนางก็จะได้รับสิ่งดีๆตอบแทนเอง แต่ใครจะคิดว่าความเชื่อเช่นนั้นจะเป็นแค่ภาพลวงตาไร้สาระ ผลตอบแทนความดีและมีเมตตาของนาง กลับกลายเป็นการถูกทรยศหักหลังอย่างเลือดเย็นและความชอกช้ำใจจนแทบกระอักเลือด

บิดาของนางเป็นคนแล้งน้ำใจ สามีของนางรึเจ้าคิดเจ้าแค้น ส่วนผู้หญิงคนนั้นที่นางคิดมาตลอดว่าเป็นพี่สาวที่แสนดี... ถึงรูปโฉมของนางจะไม่อาจเทียบได้กับหลี่ฉางเล่อ แต่นางก็ซื่อสัตย์และภักดีกับทั่วป๋าเจินมาตลอด เพื่อเขาแล้วนางไม่แยแสต่อความตาย และหากไม่เพราะนาง เขาก็คงตายไปนานแล้ว ถ้าไม่มีนาง เขาคงไม่มีวันได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิด้วยซ้ำ แต่นางกลับกลายเป็นผู้ที่ถูกเขี่ยทิ้ง ถูกจองจำอยู่ในตำหนักเย็นนั่น

สวรรค์ได้ให้โอกาสนางเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง หลี่เว่ยหยางสูดลมหายใจลึก สายตาแน่วแน่ตั้งใจ ไม่มีเหตุผลอันใดที่นางควรจะเมตตาคนพวกนั้น วันหนึ่งนางจะต้องให้พวกมันแต่ละคนได้ชดใช้ในสิ่งที่เคยทำไว้กับนาง!

คืนยามเคลื่อนผ่านเข้าสู่วันใหม่

นางหม่ายืนลังเลอยู่หน้าห้อง

นางไม่แน่ใจว่าควรเข้าไปปลุกหลี่เว่ยหยางดีหรือไม่ ไก่ใกล้จะขันปลุกยามเช้าแล้ว และถ้าเว่ยหยางยังไม่ยอมตื่น นางก็คงถูกนางหลิวดุด่าอีกเป็นแน่ นางหม่าใคร่ครวญแล้วก็ค่อยๆก้าวเข้าไปในห้องเล็ก แต่นางกลับพบว่าห้องว่างเปล่า เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนางก็เริ่มกลัวขึ้นมา

เว่ยหยางหายไปไหนกัน? ยิ่งเห็นว่าห้องนั้นสะอาดเรียบร้อยดี นางก็ยิ่งประหลาดใจ

ยามนั้น เว่ยหยางกำลังเดินไปมาอยู่ในครัว นางต้มนมถั่วเหลืองเสร็จแล้ว นางเทข้าวต้มร้อนๆลงในชามข้าวของทุกคน พร้อมกับวางแตงกวาดองไว้เป็นเครื่องเคียง สุดท้ายจึงวางหม้อข้าวต้มที่เหลือนั้นลงบนโต๊ะ

เมื่อเห็นความประหลาดใจบนใบหน้าของนางหม่าที่เดินเข้ามาในครัว เว่ยหยางก็ยิ้มให้ "พี่เหลียนซื่อ ข้าเตรียมมื้อเช้าให้พวกท่านเรียบร้อยแล้วค่ะ"

ชื่อเดิมของนางหม่าคือ เหลียนซื่อ แต่เว่ยหยางไม่เคยเรียกนางด้วยท่าทีสนิทสนมแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่ เด็กสาวก็เอาแต่หวาดกลัว พร้อมจะร่ำไห้ได้ตลอดเวลา

แน่นอนว่าหลี่เว่ยหยางเองก็ทราบดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร ก่อนหน้านี้นางมีบ่าวไพร่คอยดูแลมาตลอด แต่อยู่ๆก็ถูกส่งมาอยู่ชนบทให้ดิ้นรนเอาตัวรอดเอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่นางจะรู้สึกทนไม่ได้ ยิ่งช่วงครึ่งปีมานี้นางหลิวไม่ได้รับค่าเลี้ยงดูตอบแทนเหมือนอย่างเคย จึงยิ่งดุร้ายและตบตีนางรุนแรงขึ้น เว่ยหยางคนก่อนถึงได้มีแต่ความหวาดกลัวอยู่ตลอด

แต่ยามนี้ ยามที่นางได้พบเจอกับความเหี้ยมโหดของทั่วป๋าเจิน ต้องทนทรมานกับความเจ็บปวดในการสูญเสียขาทั้งสองข้าง และการถูกกักขังอยู่ถึง 12 ปี ความดุร้ายของนางหลิวแทบไม่ได้มีความสลักสำคัญอันใด นางไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นขวากหนามในชีวิตของเว่ยหยางด้วยซ้ำ นางก็แค่ก้อนดินข้างถนน ไม่มีอะไรน่ากลัวสักนิด

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เว่ยหยางจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า "ท่านป้าโจวกับคนอื่นๆคงใกล้จะออกมาแล้ว พี่เหลียนซื่อรีบไปเตรียมตัวเถิดค่ะ"

บ้านหลังนี้มีสมาชิกทั้งหมด 5 คน หัวหน้าครอบครัวชื่อ โจวชิง เป็นคนดูแลสวนของคฤหาสถ์หลี่เต๋อ และมักจะไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน ภรรยาของโจวชิงก็คือนางหลิว บุตรชายคนโตของพวกเขาคือ โจวเจียง มีนางหม่าเป็นสะใภ้ สุดท้ายคือบุตรสาวคนเล็ก โจวหลานซิ่ว

นางหม่าจ้องมองเว่ยหยางอย่างสับสน แต่เว่ยหยางแค่เพียงยิ้มให้แล้วหลบออกไปข้างนอก

ประตูรั้วบ้านซอมซ่อถูกเปิดออกขณะที่เด็กสาวท่าทางประหลาดเดินออกมาพร้อมกับถังไม้ใบใหญ่ในมือ ถังไม้นั้นมีผ้าสกปรกบรรจุอยู่เต็ม เด็กสาวแต่งกายด้วยชุดสีฟ้าที่แทบจะกลายเป็นสีดำจากการซักล้าง ด้านหลังของชุดยังมีรอยปะชุนทั่ว เรือนผมดำยาวของนางถูกมัดเป็นมวยเล็กๆสองข้าง แม้จะแต่งกายราวกับนุ่งผ้าขี้ริ้วแต่ท่าทางของนางสงบนิ่ง นางมีใบหน้ารูปไข่ ผิวพรรณขาวผุดผาด คิ้วโก่ง ดวงตาเรียวยาวมีแววสดใสเจิดจ้า จมูกของนางโด่งได้รูป ริมฝีปากจิ้มลิ้ม เส้นผมดำยาวช่วยขับให้เรือนร่างของนางเฉิดฉายยิ่ง ทำให้เสื้อผ้าซอมซ่อดูน่ามองขึ้นมา เทียบกับเด็กสาวอื่นๆในหมู่บ้านแล้ว นางงดงามจับตากว่าอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเหตุนี้ ทุกคราที่นางออกมาจากบ้านสกุลโจว ก็มักจะมีสายตาคอยจับจ้องมาเสมอ

หลี่เว่ยหยางสวมใส่เสื้อผ้าราคาถูก หน้าตาก็ไม่ได้แต่ง แต่ใบหน้าของนางช่างสงบนิ่งราวกับไม่รับรู้ถึงการจ้องมองของผู้คน นางลากถังไม้ในมือมุ่งตรงไปยังแม่น้ำ

ความงามจะมีประโยชน์อันใดกัน? ความจริงตัวนางในชาติก่อนก็เคยคิดว่ารูปโฉมของตนเองไม่ธรรมดาเลยทีเดียว แต่เมื่อกลับไปเมืองหลวงและได้พบกับหลี่ฉางเล่อ นางถึงรู้ความหมายของคำว่า งดงามราวกับเทพธิดา เทียบกับฉางเล่อแล้ว นางก็แค่สาวงามที่หาได้ดาษดื่นเท่านั้น

หลี่เว่ยหยางเดินมาหยุดที่ริมฝั่งแม่น้ำแล้วค่อยๆนั่งลง นางใช้ไม้ตีผ้าซักคราบไคลและสิ่งสกปรกออกจากเนื้อผ้า ไม้ตีกระทบผ้าเกิดเสียงดังเป็นจังหวะ แต่ละครั้งน้ำจะกระเด็นโดนใบหน้าและเสื้อผ้าของนาง แต่นางหาได้ใส่ใจไม่ สีหน้าของนางไม่เปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ

เด็กสาวคนอื่นๆที่มาซักผ้าเริ่มสังเกตเห็นนาง ต่างสะกิดชี้ชวนมาทางนี้ พวกนางหัวเราะกระซิบกระซาบกันเหมือนฝูงนกกระจอก

"ดูนั่นซิ คุณหนูคนงามกำลังซักผ้าอยู่แน่ะ"

"น่าสมเพชเสียจริง! ดูชุดที่นางใส่อยู่สิ เทียบกับเสื้อผ้าพวกเราไม่ได้ด้วยซ้ำ"

"นางเป็นลูกสาวอัครมหาเสนาบดีจริงๆหรือ? ทำไมไม่เห็นมีขุนนางมาเคารพนางสักคน?"

"เจ้าไม่รู้หรือ? นางน่ะเกิดเดือนกุมภาพันธ์ ว่ากันว่าพอเกิดมาก็ทำให้พ่อตัวเองโชคร้าย! พวกเขาถึงรีบถีบหัวนางออกจากบ้าน พูดอีกทีก็คือพวกเขาไม่ต้องการเห็นหน้านางอีก!"

"โอ้ ถ้าเช่นนั้น เกิดเป็นสาวชาวบ้านอย่างพวกเรายังดีกว่าเป็นลูกสาวเสนาบดีแต่ไม่มีใครต้องการเยอะ ถ้าข้าเป็นนางคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!"

"ถูกของเจ้า! ให้ข้าแลกที่กับนาง ข้ายังไม่เอาเลย!"

หลี่เว่ยหยางได้ยินทุกคำพูดอย่างชัดเจน นางจำได้ว่าตอนยังเล็ก นางเคยเพ้อฝันว่าวันหนึ่งจะได้กลับไปเมืองหลวง ได้ใช้ชีวิตที่สุขสบาย แต่ทุกครั้งที่นางคิดถึงเรื่องนี้ ความเศร้าโศกในโชคชะตาของตนก็จะยิ่งทวีคุณ...

มุมปากของนางยกขึ้น เมื่อชาติก่อน คำพูดเหล่านี้ทำให้นางต้องเสียน้ำตาเป็นพันครั้ง แต่ตอนนี้นางเพียงแค่ลุกขึ้นแล้วย้ายไปทางต้นน้ำ

ผ้าที่นางซักเป็นถุงเท้าของนางหลิวที่ทั้งสกปรกและเหม็นหืน หลี่เว่ยหยางจับปลายผ้าไว้แล้วใช้ไม้ตีแรงๆ น้ำสกปรกก็ไหลตามน้ำไปยังจุดที่บรรดาเด็กสาวกำลังนั่งอยู่ พวกนางมัวแต่กระซิบกระซาบกันสนุกปากจนไม่สังเกตเห็น

เมื่อซักผ้าเสร็จเรียบร้อย เว่ยหยางก็คว้าถังแล้วยืนขึ้น

ทุกคนมองดูนางอย่างประหลาดใจ ต่างรู้สึกว่านางมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป พวกเขาพูดจาร้ายกาจสารพัดแต่นางกลับยังนิ่งเฉย ราวกับ - ราวกับว่านางเป็นผู้ใหญ่ที่กำลังดูเด็กเล็กเล่นสนุกกัน...

พอนางกลับมาที่บ้านสกุลโจว ท้องฟ้าก็สว่างเจิดจ้าแล้ว นางหลิวทานข้าวเรียบร้อยแล้วและกำลังนั่งแคะฟันอยู่ตรงระเบียง เห็นหน้าเว่ยหยางนางก็ขมวดคิ้ว ทำท่าจะพูดอะไร แต่เหตุใดไม่ทราบ นางกลับเลือกจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าบ้านไปแทน

นางหม่าเดินมาหาเว่ยหยางแล้วยื่นขนมปังให้ก้อนหนึ่ง กล่าวด้วยเสียงเล็กๆของนาง "ท่านพ่อกลับมาบ้านแล้ว"

โจวชิงหรือ? หลี่เว่ยหยางเลิกคิ้วมองนางหม่า

นางหม่าชะงักไป หลี่เว่ยหยางยังเด็กนักแต่แววตาของนาง... มีบางอย่างที่ผิดไปจากอายุของนาง นางดูเป็นผู้ใหญ่และมีความแข็งแกร่ง

มิน่าเล่า นางหลิวถึงไม่กล้าดุด่าอะไรนางวันนี้... หลี่เว่ยหยางเผยยิ้มสดใสราวดอกไม้แรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ นางก้มศีรษะขอบคุณนางหม่าแล้วรีบทานขนมปังก้อนนั้น ขนมปังนั้นแห้งแข็งจนนางเจ็บคอแต่นางกลับกลืนกินมันอย่างมีความสุข

นั่นเป็นเพราะ โอกาสที่จะสั่งสอนนางหลิวได้มาถึงแล้ว.


วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2560

[องค์หญิงเว่ยหยาง] บทที่ 2 - บุตรีที่ไม่มีใครต้องการ


แสงเทียนใกล้จะมอดดับลง

หลี่เว่ยหยางกำลังนอนอยู่บนเตียง เมื่อเสียงสนทนาด้านนอกดังจนทำให้สะดุ้งตื่นขึ้น

ภายนอกห้อง นางหม่ากำลังพูดคุยกับแม่สามี "ท่านแม่ ท่านว่าเราควรตามหมอมารักษาคุณหนูสาม* ดีหรือไม่คะ อย่างไรเสีย นางก็เป็นคนตระกูลหลี่ หากนางเป็นอะไรไป..."

ฟังคำลูกสะใภ้ สีหน้าของนางหลิวเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางตอบอย่างไม่ใส่ใจ "นังเด็กนั่นคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ แต่จากที่ข้ารู้มา นางเป็นแค่ลูกที่เกิดจากบ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่ล้างเท้า ไม่เพียงเท่านั้น นางยังเป็นหญิงที่เกิดเดือนกุมภาพันธ์ กาลกิณีชัดๆ ตระกูลหลี่มีชื่อเสียงเกียรติยศ ถึงไม่สามารถฆ่านางทิ้งได้ พวกเขาเลยได้แต่ส่งนางมาอยู่กับญาติห่างๆที่พิงเฉิง
"นอกจากนี้ เหล่าไท่* กับฮูหยินหลี่ ต่างก็เจ็บไข้ได้ป่วยกันไม่หยุด นี่ไม่ใช่เพราะนางนำโชคร้ายมาสู่ครอบครัวตัวเองรึ เพราะเหตุนี้ นางถึงถูกส่งมาให้พวกเราดูแล ตามความเห็นข้า นังเด็กนี่ไม่ใช่แค่ตัวกาลกิณี นางยังเป็นหมูขี้เกียจอีกด้วย ข้าสั่งให้นางทำงานเล็กๆน้อยๆ นางก็ทำท่าอย่างกับจะเป็นจะตายให้ได้ น่าโมโหนัก!"

หลี่เว่ยหยางตกใจกับบทสนทนาที่ได้ยิน นางค่อยๆรับรู้สิ่งต่างๆรอบตัว ห้องเล็กๆนี้แทบไม่มีอะไรเลย มีเพียงโต๊ะสี่เหลี่ยมกับเก้าอี้ไม้สี่ตัว ตู้เสื้อผ้า และก็เตียงไม้ที่นางกำลังนอนอยู่นี้เอง ที่นี่คือ-  สมองนางมึนงง เสียงพูดคุยด้านนอกยังคงดำเนินต่อไป

"ตอนที่อยู่บ้านสกุลหลี่ คุณหนูสามมีบ่าวไพร่คอยรับใช้ นางไม่เคยต้องทำงานใช้กำลัง วันนี้นางเพียงแค่ไม่ทันระวังถึงได้ตกลงไปในทะเลสาบจนป่วยไข้อยู่แบบนี้ จริงๆก็ไม่ใช่ความผิดของนาง..." ฤดูนี้อากาศหนาวจัด น้ำในทะเลสาบก็แข็งตัวกลายเป็นแผ่นน้ำแข็ง แต่นางหลิวยังบังคับให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างหลี่เว่ยหยางไปซักผ้าที่ทะเลสาบ นางหม่าแทบทนดูไม่ได้ เสียงพูดของนางเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

นางหลิวแค่นหัวเราะ "แม้ทารกที่ตายตอนคลอดยังได้รับความรัก แต่คุณหนูสามคนนี้นี่ช่างไร้ประโยชน์ ข้าแค่ให้นางทำงานง่ายๆ นางยังทำไม่ได้ ราวกับว่าข้าใช้ให้นางทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นแหละ ถ้าข้าไม่ผลักนางก็คงไม่เดิน คนอื่นใช้แค่สองก้าวแต่นางต้องเดินถึงสามก้าว* เห็นนางนอนแกล้งป่วยอยู่บนเตียงข้าก็โมโหนัก น่าจะทิ้งนางไว้นอกบ้านให้แข็งตายไปเสียเลย!" กล่าวคำพูดใจดำนั้นออกมาแล้วนางก็หันมามองลูกสะใภ้ด้วยแววตาน่ากลัว "เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าสงสารนังเด็กนั่น ถ้าสงสารมันนัก ก็ไปซักผ้าแทนมันเสียสิ!"

นางหม่ารีบบอก "ท่านแม่ ท่านกล่าวถูกแล้ว ข้าจะไม่พูดอะไรไร้สาระอีก"

นางหลิวถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกออกไป เสียงประตูกระแทกปิดดังลั่น

เกิดอะไรขึ้น? ข้าไม่ได้ตายไปแล้วหรือ? ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้? หลี่เว่ยหยางพยายามขยับตัวแต่ร่างกายนางไร้เรี่ยวแรง นางใคร่ครวญเหตุการณ์อย่างถ้วนถี่ ขณะนั้นเอง ม่านกั้นห้องก็ถูกเปิดขึ้น ใครบางคนเดินเข้ามาแล้วช่วยโอบนางลุกขึ้นนั่ง ไหล่ของหญิงผู้นี้ทั้งบางและเล็ก หน้าอกของนางนุ่มนิ่มและมีกลิ่นคล้ายต้นไม้ชนิดหนึ่ง

"คุณหนูสามทานข้าวต้มสักหน่อยเถิด พอเหงื่ออกแล้วไข้ก็จะลดลงเอง"    

ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดใบหน้าของนาง หลี่เว่ยหยางมองดูหญิงผู้นั้นราวกับกำลังพบเจอภูตผี ถ้าจำไม่ผิด หญิงชาวบ้านอายุราว 20 ปีนางนี้คือนางหม่า สะใภ้ของครอบครัวชาวนาที่นางเคยถูกส่งมาอยู่ด้วย แต่จะเป็นไปได้อย่างไร? นางจำได้อย่างชัดเจนว่าถูกบังคับให้ดื่มเหล้าพิษ แต่เพียงแค่ชั่วพริบตา นางกลับได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยจาก 23 ปีก่อน...

นางแต่งงานกับทั่วป๋าเจินตอนอายุ 16 หลังจากนั้น 8 ปีก็ขึ้นเป็นอัครมเหสี แล้วจึงถูกจองจำอยู่ในตำหนักเย็นเป็นเวลา 12 ปี ตอนที่นางตาย นางอายุได้ 36 ปีแล้ว แต่นางหม่าดูไม่ต่างไปจากที่นางจำได้เมื่อ 23 ปีก่อนเลย เป็นไปไม่ได้! นางก้มมองมือตนเองตามสัญชาตญาณ มือคู่นี้ไม่ใช่มือของหญิงวัย 36 แต่เป็นมือของเด็กสาววัยแรกแย้ม ความคิดหนึ่งวูบผ่านสมอง ดวงตาของนางก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้น

นางหม่าถามอย่างเป็นห่วง "มีอะไรหรือ? ท่านหนาวหรือ?" เสียงของนางอบอุ่นจริงใจ "ความจริงเราควรรีบเรียกหมอมารักษาท่าน แต่ท่านแม่... เฮ้อ..."

หลี่เว่ยหยางมองถ้วยข้าวต้มในมือของนางหม่า นางไม่รู้ว่าข้าวต้มนั้นทำจากอะไรแต่นางได้กลิ่นแปลกประหลาดลอยมาจากในถ้วยนั้น ดวงตาของนางเริ่มมีน้ำตาคลอ หากนี่เป็นความฝัน นางก็ไม่อยากตื่น เพราะในความฝันนี้ นางรู้สึกว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่

หลี่เว่ยหยางกำลังจะตอบแต่ทันใดนั้นเอง ร่างอีกร่างก็เปิดม่านขึ้น

นางหม่าที่ยังถือถ้วยข้าวต้มอยู่เงยหน้ามองนางหลิวที่เพิ่งเดินเข้ามา บังเกิดความหวาดกลัวจนสั่นไปทั้งร่าง

"เจ้าทำอะไรฮึ? ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!"

นางหม่าสะดุ้งและรีบปล่อยตัวเว่ยหยาง นางลุกขึ้นยืนและกำลังจะวางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะ แต่ด้วยความประหม่า ข้าวต้มจึงหกเลอะเทอะ ข้าวร้อนๆลวกพองมือของนาง แต่นางกัดฟันทนความเจ็บปวดนั้นแล้วค่อยๆวางถ้วยบนโต๊ะ

เมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้กล้าดีถึงขั้นแอบนำอาหารมาให้หลี่เว่ยหยาง แล้วยังซุ่มซ่ามทำหกอีก นางหม่าเดือดแค้นยิ่งนัก นางจับถ้วยข้าวต้มนั้นขึ้นมาแล้วสาดใส่หน้าสะใภ้ ถ้วยตกกระทบพื้นขณะที่นางหลิวชี้หน้านางหม่า "นังตัวดี ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องเอาข้าวให้นางกิน คำพูดของข้าเจ้าฟังหูซ้ายแล้วทะลุออกหูขวาเลยหรือ? ถ้าเจ้าไม่อยากอยู่ในบ้านนี้ต่อไปแล้วก็ไสหัวไปเสีย! ไม่ต้องอยู่ให้ข้าต้องขายหน้าอีก!"

นางหม่าผู้น่าสงสารนั้นเนื้อตัวเลอะเทอะไปด้วยข้าวต้ม ร่างทั้งร่างเกิดผื่นแดงจากการถูกลวก น้ำตานางไหลพรากแต่ไม่กล้าร้องสักแอะ ทำได้เพียงจับชายเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตาตนเอง จากนั้นก็เริ่มทำความสะอาดพื้น

นางหลิวไม่ได้ต่างไปจากในความทรงจำของเว่ยหยางสักนิดเดียว หญิงผู้นี้ปฎิบัติกับผู้อื่นอย่างโหดร้ายใจดำ ไม่ว่าจะเป็นเว่ยหยางหรือนางหม่า นางหลิวต่างก็ทำราวกับพวกนางเป็นข้าทาส หลี่เว่ยหยางจ้องมองนางหลิว นางกำลังจะเอ่ยปากแต่นางหม่ากลับรีบส่งสัญญาณไม่ให้นางพูดอะไร เพราะมีแต่จะทำให้ยิ่งเจ็บตัว

ความจริงแล้วนางหม่าถือเป็นสะใภ้ที่ดี แต่ไม่ว่านางจะทำดีเพียงใด แม่สามีใจทมิฬนี้ก็ไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา วันๆนางเอาแต่คอยจ้องจับผิดลูกสะใภ้ พอเห็นว่านางหม่าพยายามปกป้องเว่ยหยาง นางจึงคิดว่าสะใภ้คิดเป็นปฎิปักษ์กับตน ถึงได้โกรธแค้นพวกนางทั้งคู่นัก

หลี่เว่ยหยางกัดฟันจ้องมองนางหลิวเงียบๆ

นางหลิวรู้สึกได้ถึงสายตานั้น จึงเหลือบมองเว่ยหยางและทันเห็นความดำมืดเยือกเย็นในดวงตาของเด็กสาว ใจนางหล่นวูบ ตะโกนด่า "เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไง ถึงมองข้าแบบนั้น?"

หลี่เว่ยหยางไม่มีเวลามาคิดใคร่ครวญว่าทำไมตนเองถึงได้ย้อนกลับมาตอนที่อายุ 13 ปี นางรู้สึกถึงแผ่นหยกในอกเสื้อของนาง แผ่นหยกนี้แม่แท้ๆของนางให้นางติดตัวไว้ตั้งแต่เกิด

บิดาของนางส่งนางมาอยู่กับญาติห่างๆในสกุลหลี่ตั้งแต่นางอายุได้ 7 ขวบ ในตอนแรกพวกเขาดูแลนางอย่างดี ให้นางมีคนดูแล มีบ่าวไพร่คอยรับใช้ แต่ท้ายที่สุด พวกเขาก็รับรู้ได้ว่าอัครมหาเสนาบดีหลี่ไม่มีความคิดที่จะนำบุตรีคนนี้กลับไปเมืองหลวง จากนั้น ใครบางคนจึงออกความคิดให้ส่งนางไปอยู่ขนบทกับครอบครัวชาวนาบ้านหนึ่ง แต่ละเดือน เงิน 10 ตำลึงจะถูกส่งมาเป็นค่าเลี้ยงดู

ทว่าหกเดือนก่อน เพราะเหตุใดไม่ทราบ ค่าเลี้ยงดูนี้กลับไม่ถูกส่งมาอีก นางหลิวเดินทางไปทวงถามถึงสามครั้ง แต่บรรดาญาติๆสกุลหลี่ก็ไม่สนใจ นางหลิวจึงยิ่งเกลียดชังหลี่เว่ยหยางนัก นางไม่เพียงใช้งานเว่ยหยางเยี่ยงทาส นางยังเป็นคนโหดร้ายทารุณ ชอบเรียกคนมาทุบตีเว่ยหยางจนร่างกายของเด็กสาวมีรอยฟกช้ำไปทั่วทั้งตัว

นางหลิวมองดูสภาพของหลี่เว่ยหยางแล้วขมวดคิ้ว "นังเด็กสำส่อน เป็นใบ้รึไง?"

แผ่นหยกนี้เป็นของสิ่งเดียวที่มารดาทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า นางเสี่ยงชีวิตเก็บซ่อนมันไว้ไม่ให้นางหลิวเห็น แต่วันนี้... หลี่เว่ยหยางเงยหน้ามองหญิงสูงวัย ความเย็นชาในแววตาเลือนหายไปในพริบตาเดียว แล้วถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มประจบประแจง "ท่านป้าโจว* ท่านดูแลข้ามานาน ข้าไม่มีสิ่งใดตอบแทนนอกจากหยกชิ้นนี้ ข้าจึงอยากมอบให้ท่านเป็นการแสดงความกตัญญู"

หากนางจำไม่ผิด แผ่นหยกรูปปลาคู่*ชิ้นนี้จะถูกนางหลิวค้นเจอและขโมยไปในอีกสองสัปดาห์ให้หลัง ในตอนนั้น นางพยายามแย่งมันคืนมาแต่กลับถูกทุบตีอย่างทารุณ ต่อมาเมื่อนางได้เป็นพระชายาขององค์ชายสาม นางจึงได้ส่งคนไปทวงกลับมา แต่กลับพบว่าหมู่บ้านแห่งนี้เกิดโรคระบาด ชาวบ้านส่วนใหญ่ล้มตายรวมถึงนางหลิวด้วย แผ่นหยกชิ้นนั้นจึงหายสาบสูญไป

นางหลิวแทบไม่เชื่อสายตาตนเองเมื่อเห็นว่าแผ่นหยกล้ำค่าที่นางปรารถนามาตลอดจะถูกหลี่เว่ยหยางนำมามอบให้ด้วยตัวเอง นางพึงพอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังทำแค่นเสียงเย็นชาขณะคว้าแผ่นหยกไปจากมือเว่ยหยาง "แค่นี้พอที่ไหนกัน!"

นางหม่าตกใจอย่างยิ่ง นางมองดูหลี่เว่ยหยางราวกับไม่เคยรู้จักเด็กสาวผู้นี้มาก่อน นางทราบดีว่าเว่ยหยางแอบซ่อนแผ่นหยกนี้ไว้อย่างระมัดระวังมาตลอด และไม่เคยยอมให้ใครแย่งมันไป แต่เหตุใดนางกลับยอมยกให้นางหลิวง่ายๆ...

นางหลิวกำแผ่นหยกนั้นไว้แน่น อารมณ์ดีขึ้นถนัดตา นางเชิดจมูกยิ้มเยาะ "เอาเถอะ! วันนี้ให้เจ้านอนต่อก็ได้ แต่พรุ่งนี้เจ้าต้องรีบตื่นมาทำงาน เข้าใจไหม!"

รอยยิ้มของหลี่เว่ยหยางทั้งสุภาพเรียบร้อยและเชื่อฟัง "ค่ะท่านป้าหลิว พรุ่งนี้ข้าจะตื่นแต่เช้ามาช่วยงานบ้าน"

นางหลิวเองก็แปลกใจกับความอ่อนน้อมของหลี่เว่ยหยาง นางกำลังจะพูดอะไรอีก แต่ทันใดนั้น ชายร่างสูงผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามา เมื่อชายผู้นั้นเห็นสภาพในห้องเขากลับมีท่าทีเหมือนเคยชินกับเหตุการณ์เช่นนี้ เขาเหลือบมองนางหม่าอย่างดูหมิ่นแล้วหัวเราะเสียงดัง "ท่านแม่ ท่านโมโหเรื่องอะไรอีกหรือ? มาเถอะ วันนี้ข้าซื้อผ้าไหมมาจากที่ตลาด เหมือนกับที่ฮูหยินหลี่เคยใส่ไม่มีผิด ท่านมาดูกับข้าเถอะ" แล้วเขาก็ลากนางหลิวออกไปด้านนอก

ขณะกำลังจะเดินออกไป นางหลิวยังหันมาขู่สะใภ้ "ถ้าจับได้ว่าเจ้าให้ข้าวนางกินอีกละก็ ข้าจะถลกหนังเจ้าแน่!"

หลังจากนางหลิวออกไปแล้ว นางหม่าก็เอามือปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น

หลี่เว่ยหยางมองดูนางหม่าแล้วได้แต่ส่ายศีรษะ คนเราไม่ควรจะอ่อนแอและโง่เขลาถึงเพียงนี้ ยังมีอีกหลายวิธีที่นางจะแย่งแผ่นหยกนั้นคืนมา จะต่อกรกับหญิงสามานย์อย่างนางหลิวได้ นางต้องใช้วิธีการที่ชั่วร้ายเสียยิ่งกว่า!




*** คำอธิบายเพิ่มเติม ***

- ครอบครัวชาวนาที่เว่ยหยางอาศัยอยู่ด้วยตอนนี้คือ ครอบครัวสกุลโจว หัวหน้าครอบครัวชื่อ โจวฉิง ผู้หญิงจีนเวลาแต่งงานจะไม่เปลี่ยนแซ่ตามสามี แต่จะเรียกเป็นฮูหยินของตระกูลนั้นๆแทน เว่ยหยางเรียกนางหลิวว่า "ป้าโจว" ตามสกุลสามีนาง และเรียก "ป้าหลิว" ตามสกุลเดิม นางหม่าเองก็เป็นสะใภ้สกุลโจว แต่ใช้แซ่เดิมคือ หม่า

- หลี่เว่ยหยาง เป็นบุตรสาวคนที่สามของตระกูล เลยมีชื่อเรียกว่า คุณหนูสาม

- เหล่าไท่ คือ แม่ของนายท่านใหญ่ของตระกูล ในที่นี้คือแม่ของอัครมหาเสนาบดีหลี่ หรือก็คือ ย่าของเว่ยหยาง

- "ไม่ผลักก็ไม่ยอมเดิน คนอื่นใช้แค่สองก้าวแต่นางต้องเดินถึงสามก้าว" หมายความถึง คนโง่ หรือ คนขี้เกียจ ที่ต้องใช้เวลาทำอะไรนานกว่าคนปกติ

- แผ่นหยกรูปปลาคู่ จริงๆเป็นหยกที่มีสัญลักษณ์ราศีมีน เข้าใจว่าน่าจะเป็นสัญลักษณ์ประจำราศีเกิดของเว่ยหยาง




วันพฤหัสบดีที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2560

[องค์หญิงเว่ยหยาง] บทที่ 1 - ราชินีที่ถูกปลด

ต้าหลี่
ใต้หลังคาของตำหนักเย็น หลี่เว่ยหยางนับเห็บหมัดในเส้นผมยาวสยายของนางได้ทั้งสิ้น 6 ตัว เป็นเวลาหลายปีมาแล้วหลังจากที่นางได้อาบน้ำครั้งสุดท้าย จนร่างกายสกปรกของนางราวกับมีเกราะหนาสวมทับอยู่ การจับเห็บหมัดตามเนื้อตัวจึงกลายเป็นวิธีเดียวที่นางใช้ฆ่าเวลา

12 ปี นางถูกจองจำอยู่ในตำหนักเย็นนี้มา 12 ปีแล้ว เว่ยหยางเงยหน้ามองฟ้า ทุกคราที่ฝนตก ขาสองข้างของนางจะเจ็บปวดรุนแรงจนแทบทำให้นางคลุ้มคลั่ง

นางเป็นลูกสาวแท้ๆของอัครมหาเสนาบดีหลี่เซียวหราน โชคร้ายที่นางไม่ได้เกิดกับภรรยาหลวง แต่เป็นภรรยาน้อย แม่ของนางเป็นเพียงบ่าวรับใช้ต่ำต้อย นอกจากนี้ นางยังถือกำเนิดในเดือนกุมภาพันธ์ ตามคำกล่าวที่ว่าหญิงที่เกิดเดือนนี้จะนำพากาลกิณีมาสู่ครอบครัว นางจึงถูกบิดาบังเกิดเกล้าส่งไปอยู่กับญาติห่างๆ กระนั้น แม้แต่บรรดาญาติๆยังไม่ต้องการเลี้ยงดูลูกหลานที่เกิดกับบ่าวไพร่ พวกเขาจึงส่งนางไปอยู่ชนบท ปล่อยให้นางต้องดิ้นรนด้วยตัวเอง ทั้งที่มีบิดาเป็นถึงอัครมหาเสนาบดี เกิดในตระกูลหลี่ หนึ่งในตระกูลที่ร่ำรวยและมีอำนาจกว้างขวางที่สุดในแผ่นดิน แต่นางกลับถูกบังคับให้ทำงานทั้งในบ้านและในไร่นา

นางถูกทิ้ง ถูกลืม หากไม่ใช่เพราะพี่สาวต่างมารดา หลี่ฉางเล่อ ปฏิเสธการแต่งงานกับชายผู้นั้น บิดากับฮูหยินใหญ่คงจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่านางมีชีวิตอยู่

ฉางเล่อ... เว่ยหยาง... เพียงแค่ชื่อก็บ่งบอกความต่างศักดิ์ของพวกนางสองคนได้

ครั้งแรกที่นางกลับไปเหยียบคฤหาสน์สกุลหลี่ นางเต็มไปด้วยความสุขและเบิกบานใจ ดีใจที่บิดายังจำนางได้ หากนางกลับบังเอิญได้ยินบิดาพูดปลอบพี่สาวผู้แสนงดงามและสูงส่งของนาง "เซียนหุยลูกรัก ไม่ต้องกังวลไป พ่อจะส่งเว่ยหยางไปแต่งกับทั่วป๋าเจินแทนเจ้า"

พี่สาวของนางยังมีอีกชื่อหนึ่งว่า เซียนหุย ชื่อของนางช่างไพเราะยิ่ง นั่นคือสิ่งที่เว่ยหยางคิดในตอนนั้น แต่หลังจากนั้น ชื่อนี้กลับกลายเป็นฝันร้ายที่คอยหลอกหลอนนาง

สุดท้าย นางยอมเชื่อฟังบิดา แต่งงานกับองค์ชายสาม ทั่วป๋าเจิน แทนฉางเล่อ นางยินดีและเต็มใจช่วยสามีทำตามความทะเยอทะยานของเขา มองดูเขาก้าวจากตำแหน่งองค์ชายไปสู่จักรพรรดิ นางยังได้ให้กำเนิดลูกชายกับเขาอีกหนึ่งคน นามว่า ยูลี หลังจากทั่วป๋าเจินขึ้นเป็นจักรพรรดิ เขาก็ได้แต่งตั้งนางเป็นอัครมเหสี ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในเวลาสั้นๆเพียง 8 ปีเท่านั้น

ทั่วป๋าเจินเคยกล่าวว่านางมีผิวพรรณนุ่มนวลและเป็นสาวงามอันดับหนึ่ง แต่สาวงามอันดับหนึ่งหรือจะสู้ความงามหยาดฟ้ามาดินราวกับเทพธิดาบนสรวงสวรรค์ เพียงแค่มองผ่านๆ ไม่ว่าใครก็เห็นได้ว่าความแตกต่างของพวกนางนั้นชัดเจนเพียงใด

แล้วเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น หลังจากนั้น...

ทุกครั้งที่หลี่เว่ยหยางนึกถึงวันนั้น นางมักจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมา หัวเราะเยาะความโง่เขลาและเยาว์วัยของตน หัวเราะให้สภาพของตัวเองทั้งในปัจจุบันและในอดีต ให้กับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น

นางยังจดจำคืนนั้นได้อย่างแจ่มชัด สาวใช้และทุกคนในพระราชวังคุนหนิงถูกลงโทษอย่างเร่งร้อน ราวกับว่าพวกเขาต้องการรีบจบเรื่องราวทุกอย่าง หรือไม่ก็ต้องการปิดทุกอย่างเป็นความลับ บรรดาสาวใช้ไม่ได้ถูกนำตัวไปสอบสวนด้วยซ้ำ แต่กลับถูกสังหารหน้าตำหนักของนางนี่เอง

ประตูวังคุนหนิงถูกลงกลอนไว้อย่างแน่นหนา ผู้ที่ถูกลงทัณฑ์ล้วนถูกปิดปากกันเสียงเล็ดลอดออกไป ในชั่วพริบตา วังหลวงกลับกลายเป็นทะเลเลือด หลี่เว่ยหยางถูกลากออกมาอยู่หน้าจักรพรรดิทั่วป๋าเจิน

ในดวงตาที่ปกติมีแววฉลาดหลักแหลม ทั่วป๋าเจินกลับมองนางด้วยสายตาที่ทั้งโหดร้าย เย็นชา และเชือดเฉือน "นังแพศยา! นางเป็นพี่สาวเลือดเนื้อเชื้อไขเดียวกับเจ้าแท้ๆ เจ้ากลับคิดจะทำร้ายนาง!"

แม้ใจของหลี่เว่ยหยางเต็มไปด้วยความโกรธแค้น นางยังกล่าวตอบ "ทำร้ายนางหรือ ข้าไม่เคยทำร้ายนาง!"

ทั่วป๋าเจินทุบเข้าที่อกของนางอย่างไร้ความปราณีจนเลือดกระอักออกมาทางปากเว่ยหยาง เขามองนางอย่างเกลียดชัง "หญิงชั่ว! ฉางเล่อเจ็บท้องคลอดแต่ข้าไม่ได้อยู่ข้างกายนาง สาวใช้จึงไปขอให้เจ้าช่วย แต่เหตุใดเจ้ากลับปิดประตูหันหลังให้นาง เห็นชัดว่าเจ้าต้องการให้นางมีอันเป็นไป! หากข้ากลับมาไม่ทันเวลา ทั้งแม่ทั้งลูกคงไม่มีชีวิตรอด!"

นางเงยหน้าขึ้นมองทั่วป๋าเจิน เขายังคงหล่อเหลาเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน ราวกับเขาไม่ได้อยู่บนโลกเดียวกับนาง ความจริงแล้ว นางไม่เคยเข้าใจบุรุษที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เลย นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าชายที่นางรักเป็นคนอย่างไร นาทีหนึ่งเขาอาจจะสุภาพอ่อนหวาน แต่นาทีต่อมากลับโหดร้ายเย็นชา นางรู้สึกว่าตนเองช่างน่าขำ จมอยู่กับความรักข้างเดียว ไม่เคยรู้เลยว่าเขาไม่ได้ต้องการนาง

หลี่เว่ยหยางแค่นหัวเราะเสียงเย็น "ฝ่าบาทนึกถึงแต่พี่หญิง ทรงเคยนึกถึงยูลีลูกของเราบ้างไหม? วันเดียวกับที่ลูกของท่านกับนางเกิด ยูลีของข้ากลับป่วยหนัก ทนทรมานอยู่บนเตียง! ข้าผิดหรือที่เรียกหมอหลวงมาดูอาการเขา? ฉางเล่อเป็นคน ข้าก็เป็นคน! นางคลอดลูกอย่างปลอดภัย ลูกชายของนางยังได้เป็นรัชทายาทตั้งแต่เกิด แต่ยูลีของข้ากลับต้องตาย! ท่านเคยสัญญาว่าจะมอบตำแหน่งรัชทายาทให้ลูกของเรา ตอนนี้ท่านก็เป็นจักรพรรดิแล้ว เหตุใดกลับผิดคำพูดเช่นนี้เล่า? เพราะอะไรกัน?!"

ใบหน้าของเขาเย็นยะเยือก มองดูนางอย่างเฉยชา "ข้ายกตำแหน่งอัครมเหสีให้เจ้า แต่เจ้ายังไม่พอใจ! เจ้ายังโลภอยากได้ตำแหน่งรัชทายาทอีกหรือ!"

หลี่เว่ยหยางรับรู้ได้แต่เพียงรสเลือดในปาก เสียงของนางเยียบเย็นราวกับธารน้ำแข็ง "อัครมเหสีหรือ? ใช่ ข้าคืออัครมเหสี แต่ราชโองการที่จะปลดข้าก็วางอยู่ตรงหน้าท่านแล้วนี่ ท่านแค่เพียงรอเวลาให้ฉางเล่อคลอดก่อนจึงจะลงตราประทับ! ทั่วป๋าเจิน ข้าทำอะไรผิด? ข้าแต่งกับท่านมา 8 ปี ข้าปรนนิบัติท่านอย่างไร?" นางถามขณะดึงเสื้อชั้นนอกออก เผยให้เห็นแผลเป็นน่ากลัวที่กลางอก

"ในปีเสียนตี้ที่ 38 ข้าปกป้องท่านจากการลอบสังหาร จนมีแผลเป็นอยู่กลางอกนี่ ในปีเสียนตี้ที่ 40 พอรู้ว่ารัชทายาทวางยาพิษในเหล้าของท่าน ข้าก็เป็นคนดื่มมันแทนท่าน ในปีที่ 41 เมื่อทราบข่าวว่าองค์ชายเจ็ดคิดฆ่าท่าน ข้าก็เดินทางทั้งวันทั้งคืนโดยไม่พักม้า ระยะทางเป็นพันลี้ เพียงเพื่อไปเตือนท่าน! ปีที่ 42 ตอนที่ท่านป่วยติดเชื้อจากการไปช่วยผู้ประสบภัยพิบัติ ข้าคนเดียวดูแลท่านติดต่อกันนานถึง 48 วัน! พอท่านขึ้นเป็นจักรพรรดิ ท่านให้สัญญาอะไรไว้กับข้า ท่านยังจำได้บ้างไหม? ท่านบอกว่าตราบใดที่ท่านเป็นจักรพรรดิ จะมีข้าเป็นอัครมเหสีเพียงคนเดียว แต่ไม่นาน ท่านกลับตกหลุมรักหลี่ฉางเล่อ ไม่เพียงท่านยกลูกชายนางขึ้นเป็นรัชทายาท ท่านยังคิดจะปลดข้าด้วย! ทั่วป๋าเจิน ท่านไม่ทำให้ข้าผิดหวังจริงๆ!"

ทั่วป๋าเจินมองนางด้วยสีหน้าเฉยชาไม่แยแส ความเย็นชาของเขาช่างดูเป็นธรรมชาติ ราวกับว่าเขาเกิดมาพร้อมกับสีหน้าเช่นนี้ การแสดงออกของเขาบีบหัวใจนาง ราวกับเข็มนับพันเล็มกำลังทิ่มแทงหัวใจ นางหอบหายใจเฮือกใหญ่ ใบหน้าของนางยังคงความดื้อรั้น หากแต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและสูญเสีย

"ฉางเล่อคือหญิงที่ข้ารัก ถึงแม้ว่าข้าคิดจะปลดเจ้า แต่ก็ตั้งใจจะให้เจ้าได้อาศัยอยู่ในวังหลวงต่อไป เจ้าจะได้มีข้าวให้กิน มีหลังคาคุ้มหัว สุขสบายไปชั่วชีวิต"

"สุขสบายไปชั่วชีวิต?" ราวกับถูกของแหลมคมแทงทะลุอกนางจนเป็นรู เว่ยหยางหัวใจแหลกสลาย นางรู้สึกราวกับตนเองเป็นภูเขาน้ำแข็งที่ค่อยๆถล่มและสลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย เขาและนางแต่งกันมา 8 ปี ผ่านทุกข์และสุขมาด้วยกันมากมาย ในยามที่เขาตกต่ำ มีแต่นางที่คอยอยู่เคียงข้างเขา แต่พอเขาได้เป็นจักรพรรดิ เขากลับไปรักฉางเล่อ และต้องการปลดนาง ถึงกระนั้นยังมีหน้ามาพูดว่าอยากให้นางมีข้าวกิน มีหลังคาคุ้มหัว

"ข้าทำทุกอย่างเพื่อท่าน เพื่อปกป้องท่าน ข้าไม่เคยสนใจชีวิตตัวเอง แต่สิ่งที่ข้าได้รับตอบแทน คือคำพูดเช่นนี้หรือ? แปดปี! แปดปีที่ร่วมทุกร่วมสุขกันมา แต่กลับเทียบไม่ได้กับความงามของฉางเล่อ สุขสบายไปชั่วชีวิตงั้นหรือ? ใครต้องการชีวิตสุขสบายกัน? ข้ายอมอดทนต่ออันตราย ฝ่าความเป็นความตายมาก็เพื่อวันนี้ แต่ท่านกลับจะยกสิ่งที่เป็นของข้าให้หญิงอื่น! แล้วท่านจะให้รู้สึกขอบคุณงั้นหรือ?"

ทั่วป๋าเจินทุบโต๊ะเสียงดัง กาน้ำชาร่วงกระทบพื้น เขาขมวดคิ้วแน่น "หุบปาก! หญิงอื่นอะไร?! ฉางเล่อเป็นพี่สาวเจ้าแท้ๆ!"

หลี่เว่ยหยางยิ้มเยาะ "พี่สาว? นางเป็นถึงเทพธิดาจากสรวงสวรรค์ เป็นคุณหนูผู้สูงศักดิ์แห่งสกุลหลี่ ส่วนข้ามันเป็นแค่ลูกเมียน้อย เป็นตัวกาลกิณีที่พ่อแท้ๆยังไม่อยากมอง ราวกับเศษดินบนพื้น! ถ้านางคิดว่าข้าเป็นน้อง นางกล้าคิดแย่งสามีน้องสาวตัวเองได้อย่างไร? นางกล้าแย่งตำแหน่งรัชทายาทจากลูกชายของข้าได้อย่างไรกัน?"

ทั่วป๋าเจินหัวเราะหึ เขาก้มมองใบหน้าเผือดสีของหลี่เว่ยหยาง สายตาของเขาเต็มไปด้วยความเหี้ยมโหดจนคนไม่กล้าหายใจ "ฉางเล่อบริสุทธิ์ผุดผ่อง จิตใจงดงาม นางไม่กล้าฆ่ามดสักตัวด้วยซ้ำ เจ้าไม่อาจเทียบนางได้สักนิด! ส่วนยูลี เขาไม่รู้จักเคารพผู้ใหญ่ ซ้ำยังอกตัญญู กล้าพูดจาหยาบคายต่อฉางเล่อ เขาไม่คู่ควรกับตำแหน่งรัชทายาท!"

บริสุทธิ์ผุดผ่อง จิตใจงดงาม? ตั้งแต่เล็ก เว่ยหยางต่างหากที่มีเมตตาชอบช่วยเหลือผู้อื่น แต่คนได้หน้ากลับเป็นพี่สาวของนาง เพียงเพราะนางรูปโฉมงดงามราวนางสวรรค์จนทำให้ผู้อื่นหลงคิดไปว่าจิตใจของนางงดงามเหมือนหน้าตา

หลี่เว่ยหยางอยากจะหัวเราะเยาะตัวเอง คำพูดของเขาไม่ต่างจากคมดาบที่เสียบทะลุหัวใจของนาง หยาดน้ำตาไหลรินจากดวงตาอันว่างเปล่า

ดวงตาของนางมีแต่ความสิ้นหวังที่ไม่อาจเอื้อนเอ่ย "ถูกของท่าน ข้าไม่อาบเทียบกับฉางเล่อได้ แต่ยูลีบริสุทธิ์ เขาอายุแค่ 4 ขวบเท่านั้น ยังไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เขาเห็นแม่เจ็บปวดร้องไห้ ถึงได้แสดงความไม่พอใจใส่ฉางเล่อ แต่ท่านสิ ท่านกลับใจดำขังเขาไว้ถึงสามวันสามคืน"

ทั่วป๋าเจินมองนางเงียบๆ

ใจนางบอบช้ำยิ่งนัก "ถ้าไม่เพราะท่าน ปอดของเขาคงไม่ติดเชื้อ เขาคงไม่ต้องอายุสั้นแบบนี้! เขาเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของท่านแท้ๆ เพียงเพราะเขาไม่เคารพผู้ใหญ่ ท่านก็ทำกับเขาเช่นนี้ ข้าผิดหรือที่เรียกหมอหลวงมาดูอาการเขา เพราะต้องการช่วยลูกของตนเอง? ท่านคิดถึงแต่ฉางเล่อ แต่ยูลีของข้าต้องทรมานจากพิษไข้ เสียงคร่ำครวญของเขา ท่านรู้ไหมว่ามันทำให้ข้าเจ็บปวดแค่ไหน? หากเป็นไปได้ ข้ายินดีแลกชีวิตของตัวเองกับชีวิตเขา ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของท่าน มีทั้งท่าน มีทั้งฉางเล่อ แต่ยูลีมีเพียงข้าคนเดียว! แล้วเหตุใดข้าจะต้องไปดูแลหลี่ฉางเล่อด้วย? ในเมื่อตอนนั้น ยูลีกำลังต่อสู่ระหว่างความเป็นกับความตาย! ตอนนี้ข้าไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว สิ่งเดียวที่ข้าต้องการคือให้ยูลีฟื้นขึ้นมา! ข้าเกลียดหลี่ฉางเล่อ! ข้าเกลียดนาง! ข้าเกลียดที่ข้าไม่อาจสับนางเป็นหมื่นๆชิ้น!"

"นังแพศยา!" ทั่วป๋าเจินโมโห เขาทั้งรังเกียจทั้งขยะแขยงหญิงสาวตรงหน้า "ถ้าเจ้าคิดจะเกลียดใครก็จงเกลียดข้า! นางไม่ได้อยากเข้าวังด้วยซ้ำ แต่เป็นข้าที่บังคับนาง เป็นข้าที่ต้องการให้นางเป็นอัครมเหสี หญิงที่จิตใจงดงามอย่างนาง เหตุใดถึงมีน้องสาวที่ชั่วร้ายอย่างเจ้าได้?" เขาก้าวมาหาหลี่เว่ยหยางแล้วจิกศีรษะนางขึ้นมา "ข้าไม่มีวันให้อภัยเจ้า! ข้าจะให้เจ้าต้องทุกข์ทรมานจนชั่วชีวิต! ทหาร! ตัดขานางแพศยานี่ออกทั้งสองข้าง แล้วโยนนางเข้าตำหนักเย็น!"

จากนั้น เว่ยหยางก็มองเห็นบางอย่างสีเหลืองสด ทั้งที่ตำหนักเย็นนั้นแสนมืดมน ของสีเหลืองนั้นกลับเจิดจ้าจนทำให้ทุกอย่างพร่ามัว มันส่องสว่างเสียยิ่งกว่าแสงเทียน นางรู้ตอนนั้นเองว่านั่นคือราชโองการปลดพระอัครมเหสี

ขันทีประกาศราชโองการ เว่ยหยางรู้สึกราวกับวิญญาณหลุดลอย จิตใจเหลือเพียงความว่างเปล่า ทุกความคิดปลาสนาการไปจากสมองเหลือเพียงสองคำ - การแก้แค้น และ ความเกลียดชัง นางไม่ได้ยินอะไรอีกหลังจากนั้น วิญญาณของนางได้ล่องลอยไปไกลแสนไกล

ทั่วป๋าเจิน ท่านช่างโหดเหี้ยม โหดเหี้ยมยิ่งนัก!

นางล้มตัวลงบนพื้นแต่เขาไม่คิดชำเลืองมอง เพียงยกเท้าขึ้นเตะนางอย่างไร้ความปราณี เขาไม่เพียงทำร้ายร่างกายนาง แต่ยังเหยียบย่ำศักดิ์ศรีและจิตใจของนางด้วย

หลี่เว่ยหยางหัวเราะอย่างคลุ้มคลั่ง นางเคยบอกเขาว่านางรักทิวทัศน์เมืองเจียงหนาน วันหนึ่งข้างหน้า เมื่อเหตุการณ์วุ่นวายสงบลง นางอยากไปเจียงหนาน ชมทิวทัศน์ ดื่มชารสเลิศ ฟังเพลงพื้นเมือง และท่องเที่ยวไปทั่วแผ่นดิน ทั่วป๋าเจินบอกว่าเขาจะจำคำพูดของนางไว้ และเพราะเขาจำได้ เขาถึงได้ลงโทษนางด้วยวิธีนี้ เพราะนางต้องการท่องเที่ยวให้ทั่วแผ่นดิน เขาถึงได้ตัดขานางออก เพราะนางบอกว่าต้องการเป็นมเหสี เขาถึงได้ปลดนางและโยนนางเข้าตำหนักเย็น ทั่วป๋าเจิน ท่านช่างโหดร้าย ทารุณยิ่งนัก!

ในตำหนักเย็นนั้น เว่ยหยางหรี่ตามองฟ้า

หลังจากนั้น ทั่วป๋าเจินก็ได้แต่งตั้งหลี่ฉางเล่อเป็นอัครมเหสี แต่งตั้งลูกชายนางเป็นรัชทายาท ชั่วชีวิตพวกเขามีแต่ความรักและความรุ่งเรือง ขณะที่หลี่เว่ยหยางกลับถูกลืมทิ้งไว้ นางอดทนมีชีวิตอยู่ไปวันๆ สัญญากับตัวเองว่าจะต้องอายุยืนกว่าหลี่ฉางเล่อ นางจะตายก่อนหลี่ฉางเล่อไม่ได้!

ทันใดนั้นเอง ประตูตำหนักเย็นถูกเปิดออก หลี่เว่ยหยางเห็นแสงลอดผ่านประตูเข้ามา

"หลี่เว่ยหยาง คุกเข่าลงรับราชโองการ!"

คุกเข่าหรือ? ขานางถูกตัดทิ้งทั้งสองข้าง จะให้คุกเข่าอย่างไร?

หลี่เว่ยหยางไม่เข้าใจสิ่งที่ชายผู้นั้นกำลังพูด เสียงของเขาแหบแห้งแต่ก็แหลมบาดหู นางถูกใครบางคนลากมาอยู่กลางห้องโถง

"ฝ่าบาทมีราชโองการ อดีตมเหสีไร้คุณธรรม ซ้ำยังไม่สำนึกในความผิด สาปแช่งพระอัครมเหสีทุกเช้าค่ำ จึงมีคำสั่งพระราชทานเหล้าพิษ"

"สนมหลี่ ท่านอย่าโทษผู้อื่นเลยนะ พระอัครมเหสีหวาดหวั่นจนยามค่ำคืนก็ไม่อาจข่มตาหลับ โหรหลวงทำนายว่าบาปกรรมของท่านนั้นหนักหนาจนเป็นปฎิปักษ์ต่อพระอัครมเหสี ท่านควรรีบไปเกิดใหม่เสียเถิด!"

เหล้าพิษ ชีวิตของนางต้องจบลงด้วยเหล้าพิษ! ตลอดชีวิตนางเป็นภรรยาที่ดี นางทำทุกอย่างก็เพื่อเขา ในสนามรบ นางไม่ใส่ใจต่อชีวิตตนเอง แต่พยายามเรียกขวัญและกำลังใจให้กับทหารหาญ เมื่อเกิดภัยพิบัติ นางก็เป็นคนแรกที่บริจาคเงินทองช่วยเหลือประชาชน แม้จะต้องทำให้สามีขุ่นเคืองใจบ้างแต่นางก็ยังพยายามช่วยให้เขามองเห็นข้อผิดพลาด นางเป็นราชินีที่ดี นางปฏิบัติต่อขันทีและข้าราชบริพารอย่างอดทนและมีเมตตา แต่ในยามนี้ ยามที่ชีวิตนางตกต่ำ กลับไม่มีใครสักคนเมตตาช่วยเหลือ

หลี่เว่ยหยางหัวเราะราวกับเสียสติ "ทั่วป๋าเจิน หลี่ฉางเล่อ ดีแล้ว! พวกเจ้าทำกับข้าไว้ดีมาก! หากชาติหน้ามีจริง ข้าหลี่เว่ยหยาง ขอสาบานจะไม่มีวันเมตตาผู้อื่น ไม่มีวันก้าวเข้าวังหลวง และไม่มีวันเป็นอัครมเหสี!"

ขันทีอาวุโสมองอดีตมเหสีด้วยความสมเพช เขาถอนหายใจแล้วออกคำสั่ง "ลากตัวนางมา"

เสียงร้องของหลี่เว่ยหยางยังคงดังก้องแม้จะห่างไปหลายลี้ เสียงของนางช่างบ้าคลั่งแต่ก็เต็มไปด้วยความเจ็บปวด เสียงนั้นราวกับคำสาปแช่งที่กังวานไปทั่วทั้งวัง ก่อให้เกิดความกลัวในจิตใจผู้คน.



Note: ชื่อตัวละครและสถานที่ อ้างอิงมาจากชื่อที่ได้ยินในซีรี่ส์ อาจจะมีผิดพลาดได้ หากใครทราบการออกเสียงและการสะกดที่ถูกต้อง ช่วยแนะนำได้นะ

The Princess Wei Yang / องค์หญิงเว่ยหยาง

ชื่อเรื่อง - 锦绣未央 / The Princess Wei Young / องค์หญิงเว่ยหยาง



ผู้แต่ง Qin Jian (秦简)
แปลอังกฤษ โดย solstar24 & claierie
แปลไทย โดย A Nerd Owl 





คำนำ


ชีวิตมนุษย์ไม่มีอะไรแน่นอน และไม่อาจคาดเดาความเป็นไป เมื่อพระสวามีหลงรักพี่สาวต่างแม่ของนาง จนถึงกับปลดนางจากตำแหน่งอัครมเหสี ซ้ำยังส่งลูกชายนางไปสู่ความตาย ตัวนางเองถูกบังคับให้ดื่มเหล้าพิษ ต้องสิ้นชีวิตอยู่ในพระราชวังอันแสนโหดร้ายนั้น นางจึงสาบานไว้ เกิดชาติหน้า จะไม่มีวันมีเมตตาช่วยเหลือผู้อื่นอีก จะไม่มีวันก้าวเข้าสู่วังหลวง และจะไม่มีวันขึ้นเป็นอัตรมเหสี!
ณ จวนอัครมหาเสนาบดี ภรรยาน้อยได้ให้กำเนิดปีศาจในคราบเด็กหญิง นางย้อนเวลากลับมาแก้ไขอดีตอันบอบช้ำ

แม่เลี้ยงใจยักษ์งั้นหรือ? ข้าจะส่งเจ้าลงนรก!

พี่สาวผู้ชอบตีสองหน้า? ข้าจะฉีกหน้ากากอันงดงามของเจ้าออก!

น้องสาวเจ้าเล่ห์? ข้าจะโยนเจ้าลงหลุมเอง!

พวกเจ้าไม่ยอมให้ข้าได้ใช้ชีวิตอย่างสงบ ก็อย่าหวังจะให้ข้าปล่อยให้พวกเจ้ามีความสุข!

ทั้งที่ตั้งใจไว้ว่าจะหลีกหนีให้ไกล แต่จิตใจของบุรุษช่างไม่ต่างกับเข็มในมหาสมุทร สุดจะค้นหา และยากจะเข้าใจ

ชายที่เคยทอดทิ้งนางอย่างไม่ไยดี กลับไม่อาจอยู่ได้หากขาดนาง

ศัตรูในชาติก่อน กลับมาสารภาพรักกับนาง

ที่ร้ายที่สุดคือ ผู้ชายน่ารำคาญคนนั้นที่ทั้งหน้าด้านและช่างตื๊อเป็นที่สุด!


                                               

คำนำนักแปล


นิยายเรื่องนี้เป็นนิยายจีนแนวย้อนเวลา+การเมือง+การแก้แค้น เท่าที่ทราบ ยังไม่ได้รับการซื้อลิขสิทธิ์และตีพิมพ์เป็นภาษาไทย เรื่องนี้ผู้แปลได้แปลจากบล็อกภาษาอังกฤษ โดยที่ผู้แปลเองไม่มีความรู้ภาษาจีนที่เป็นภาษาต้นฉบับ หากแต่อยากแบ่งปันเรื่องราวที่สนุกสนานของนิยายเรื่องนี้ หากมีข้อผิดพลาดประการใด สามารถติเตือนกันได้เพื่อจะได้แก้ไขให้ดียิ่งขึ้นไป หวังว่าผู้อ่านจะเพลิดเพลินไปกับนิยายเรื่องนี้เหมือนกับตัวผู้แปล 





[องค์หญิงเว่ยหยาง] บทที่ 5 - สุกรหลุดจากคอก

นางหลิวเจ็บหนักจนต้องพักรักษาตัวอยู่บนเตียงนานถึงเจ็ดวัน ในช่วงเวลาเจ็ดวันนี้ โจวหลานซิ่วยังคงด่าทอเว่ยหยางอยู่ตามเคย แต่ไม่มีใครกล้าลงมื...