วันอาทิตย์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2560

[องค์หญิงเว่ยหยาง] บทที่ 2 - บุตรีที่ไม่มีใครต้องการ


แสงเทียนใกล้จะมอดดับลง

หลี่เว่ยหยางกำลังนอนอยู่บนเตียง เมื่อเสียงสนทนาด้านนอกดังจนทำให้สะดุ้งตื่นขึ้น

ภายนอกห้อง นางหม่ากำลังพูดคุยกับแม่สามี "ท่านแม่ ท่านว่าเราควรตามหมอมารักษาคุณหนูสาม* ดีหรือไม่คะ อย่างไรเสีย นางก็เป็นคนตระกูลหลี่ หากนางเป็นอะไรไป..."

ฟังคำลูกสะใภ้ สีหน้าของนางหลิวเปลี่ยนเป็นเย็นชา นางตอบอย่างไม่ใส่ใจ "นังเด็กนั่นคิดว่าตัวเองเป็นคุณหนูสูงศักดิ์ แต่จากที่ข้ารู้มา นางเป็นแค่ลูกที่เกิดจากบ่าวรับใช้ที่ทำหน้าที่ล้างเท้า ไม่เพียงเท่านั้น นางยังเป็นหญิงที่เกิดเดือนกุมภาพันธ์ กาลกิณีชัดๆ ตระกูลหลี่มีชื่อเสียงเกียรติยศ ถึงไม่สามารถฆ่านางทิ้งได้ พวกเขาเลยได้แต่ส่งนางมาอยู่กับญาติห่างๆที่พิงเฉิง
"นอกจากนี้ เหล่าไท่* กับฮูหยินหลี่ ต่างก็เจ็บไข้ได้ป่วยกันไม่หยุด นี่ไม่ใช่เพราะนางนำโชคร้ายมาสู่ครอบครัวตัวเองรึ เพราะเหตุนี้ นางถึงถูกส่งมาให้พวกเราดูแล ตามความเห็นข้า นังเด็กนี่ไม่ใช่แค่ตัวกาลกิณี นางยังเป็นหมูขี้เกียจอีกด้วย ข้าสั่งให้นางทำงานเล็กๆน้อยๆ นางก็ทำท่าอย่างกับจะเป็นจะตายให้ได้ น่าโมโหนัก!"

หลี่เว่ยหยางตกใจกับบทสนทนาที่ได้ยิน นางค่อยๆรับรู้สิ่งต่างๆรอบตัว ห้องเล็กๆนี้แทบไม่มีอะไรเลย มีเพียงโต๊ะสี่เหลี่ยมกับเก้าอี้ไม้สี่ตัว ตู้เสื้อผ้า และก็เตียงไม้ที่นางกำลังนอนอยู่นี้เอง ที่นี่คือ-  สมองนางมึนงง เสียงพูดคุยด้านนอกยังคงดำเนินต่อไป

"ตอนที่อยู่บ้านสกุลหลี่ คุณหนูสามมีบ่าวไพร่คอยรับใช้ นางไม่เคยต้องทำงานใช้กำลัง วันนี้นางเพียงแค่ไม่ทันระวังถึงได้ตกลงไปในทะเลสาบจนป่วยไข้อยู่แบบนี้ จริงๆก็ไม่ใช่ความผิดของนาง..." ฤดูนี้อากาศหนาวจัด น้ำในทะเลสาบก็แข็งตัวกลายเป็นแผ่นน้ำแข็ง แต่นางหลิวยังบังคับให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆอย่างหลี่เว่ยหยางไปซักผ้าที่ทะเลสาบ นางหม่าแทบทนดูไม่ได้ เสียงพูดของนางเต็มไปด้วยความวิตกกังวล

นางหลิวแค่นหัวเราะ "แม้ทารกที่ตายตอนคลอดยังได้รับความรัก แต่คุณหนูสามคนนี้นี่ช่างไร้ประโยชน์ ข้าแค่ให้นางทำงานง่ายๆ นางยังทำไม่ได้ ราวกับว่าข้าใช้ให้นางทำสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อย่างนั้นแหละ ถ้าข้าไม่ผลักนางก็คงไม่เดิน คนอื่นใช้แค่สองก้าวแต่นางต้องเดินถึงสามก้าว* เห็นนางนอนแกล้งป่วยอยู่บนเตียงข้าก็โมโหนัก น่าจะทิ้งนางไว้นอกบ้านให้แข็งตายไปเสียเลย!" กล่าวคำพูดใจดำนั้นออกมาแล้วนางก็หันมามองลูกสะใภ้ด้วยแววตาน่ากลัว "เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าเจ้าสงสารนังเด็กนั่น ถ้าสงสารมันนัก ก็ไปซักผ้าแทนมันเสียสิ!"

นางหม่ารีบบอก "ท่านแม่ ท่านกล่าวถูกแล้ว ข้าจะไม่พูดอะไรไร้สาระอีก"

นางหลิวถอนใจเฮือกใหญ่ก่อนจะลุกออกไป เสียงประตูกระแทกปิดดังลั่น

เกิดอะไรขึ้น? ข้าไม่ได้ตายไปแล้วหรือ? ทำไมข้าถึงมานอนอยู่ตรงนี้ได้? หลี่เว่ยหยางพยายามขยับตัวแต่ร่างกายนางไร้เรี่ยวแรง นางใคร่ครวญเหตุการณ์อย่างถ้วนถี่ ขณะนั้นเอง ม่านกั้นห้องก็ถูกเปิดขึ้น ใครบางคนเดินเข้ามาแล้วช่วยโอบนางลุกขึ้นนั่ง ไหล่ของหญิงผู้นี้ทั้งบางและเล็ก หน้าอกของนางนุ่มนิ่มและมีกลิ่นคล้ายต้นไม้ชนิดหนึ่ง

"คุณหนูสามทานข้าวต้มสักหน่อยเถิด พอเหงื่ออกแล้วไข้ก็จะลดลงเอง"    

ลมหายใจอุ่นๆเป่ารดใบหน้าของนาง หลี่เว่ยหยางมองดูหญิงผู้นั้นราวกับกำลังพบเจอภูตผี ถ้าจำไม่ผิด หญิงชาวบ้านอายุราว 20 ปีนางนี้คือนางหม่า สะใภ้ของครอบครัวชาวนาที่นางเคยถูกส่งมาอยู่ด้วย แต่จะเป็นไปได้อย่างไร? นางจำได้อย่างชัดเจนว่าถูกบังคับให้ดื่มเหล้าพิษ แต่เพียงแค่ชั่วพริบตา นางกลับได้เห็นใบหน้าที่คุ้นเคยจาก 23 ปีก่อน...

นางแต่งงานกับทั่วป๋าเจินตอนอายุ 16 หลังจากนั้น 8 ปีก็ขึ้นเป็นอัครมเหสี แล้วจึงถูกจองจำอยู่ในตำหนักเย็นเป็นเวลา 12 ปี ตอนที่นางตาย นางอายุได้ 36 ปีแล้ว แต่นางหม่าดูไม่ต่างไปจากที่นางจำได้เมื่อ 23 ปีก่อนเลย เป็นไปไม่ได้! นางก้มมองมือตนเองตามสัญชาตญาณ มือคู่นี้ไม่ใช่มือของหญิงวัย 36 แต่เป็นมือของเด็กสาววัยแรกแย้ม ความคิดหนึ่งวูบผ่านสมอง ดวงตาของนางก็เกิดความหวาดหวั่นขึ้น

นางหม่าถามอย่างเป็นห่วง "มีอะไรหรือ? ท่านหนาวหรือ?" เสียงของนางอบอุ่นจริงใจ "ความจริงเราควรรีบเรียกหมอมารักษาท่าน แต่ท่านแม่... เฮ้อ..."

หลี่เว่ยหยางมองถ้วยข้าวต้มในมือของนางหม่า นางไม่รู้ว่าข้าวต้มนั้นทำจากอะไรแต่นางได้กลิ่นแปลกประหลาดลอยมาจากในถ้วยนั้น ดวงตาของนางเริ่มมีน้ำตาคลอ หากนี่เป็นความฝัน นางก็ไม่อยากตื่น เพราะในความฝันนี้ นางรู้สึกว่าตนเองยังมีชีวิตอยู่

หลี่เว่ยหยางกำลังจะตอบแต่ทันใดนั้นเอง ร่างอีกร่างก็เปิดม่านขึ้น

นางหม่าที่ยังถือถ้วยข้าวต้มอยู่เงยหน้ามองนางหลิวที่เพิ่งเดินเข้ามา บังเกิดความหวาดกลัวจนสั่นไปทั้งร่าง

"เจ้าทำอะไรฮึ? ลุกขึ้นมาเดี๋ยวนี้!"

นางหม่าสะดุ้งและรีบปล่อยตัวเว่ยหยาง นางลุกขึ้นยืนและกำลังจะวางถ้วยข้าวต้มลงบนโต๊ะ แต่ด้วยความประหม่า ข้าวต้มจึงหกเลอะเทอะ ข้าวร้อนๆลวกพองมือของนาง แต่นางกัดฟันทนความเจ็บปวดนั้นแล้วค่อยๆวางถ้วยบนโต๊ะ

เมื่อเห็นว่าลูกสะใภ้กล้าดีถึงขั้นแอบนำอาหารมาให้หลี่เว่ยหยาง แล้วยังซุ่มซ่ามทำหกอีก นางหม่าเดือดแค้นยิ่งนัก นางจับถ้วยข้าวต้มนั้นขึ้นมาแล้วสาดใส่หน้าสะใภ้ ถ้วยตกกระทบพื้นขณะที่นางหลิวชี้หน้านางหม่า "นังตัวดี ข้าบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ต้องเอาข้าวให้นางกิน คำพูดของข้าเจ้าฟังหูซ้ายแล้วทะลุออกหูขวาเลยหรือ? ถ้าเจ้าไม่อยากอยู่ในบ้านนี้ต่อไปแล้วก็ไสหัวไปเสีย! ไม่ต้องอยู่ให้ข้าต้องขายหน้าอีก!"

นางหม่าผู้น่าสงสารนั้นเนื้อตัวเลอะเทอะไปด้วยข้าวต้ม ร่างทั้งร่างเกิดผื่นแดงจากการถูกลวก น้ำตานางไหลพรากแต่ไม่กล้าร้องสักแอะ ทำได้เพียงจับชายเสื้อขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตาตนเอง จากนั้นก็เริ่มทำความสะอาดพื้น

นางหลิวไม่ได้ต่างไปจากในความทรงจำของเว่ยหยางสักนิดเดียว หญิงผู้นี้ปฎิบัติกับผู้อื่นอย่างโหดร้ายใจดำ ไม่ว่าจะเป็นเว่ยหยางหรือนางหม่า นางหลิวต่างก็ทำราวกับพวกนางเป็นข้าทาส หลี่เว่ยหยางจ้องมองนางหลิว นางกำลังจะเอ่ยปากแต่นางหม่ากลับรีบส่งสัญญาณไม่ให้นางพูดอะไร เพราะมีแต่จะทำให้ยิ่งเจ็บตัว

ความจริงแล้วนางหม่าถือเป็นสะใภ้ที่ดี แต่ไม่ว่านางจะทำดีเพียงใด แม่สามีใจทมิฬนี้ก็ไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา วันๆนางเอาแต่คอยจ้องจับผิดลูกสะใภ้ พอเห็นว่านางหม่าพยายามปกป้องเว่ยหยาง นางจึงคิดว่าสะใภ้คิดเป็นปฎิปักษ์กับตน ถึงได้โกรธแค้นพวกนางทั้งคู่นัก

หลี่เว่ยหยางกัดฟันจ้องมองนางหลิวเงียบๆ

นางหลิวรู้สึกได้ถึงสายตานั้น จึงเหลือบมองเว่ยหยางและทันเห็นความดำมืดเยือกเย็นในดวงตาของเด็กสาว ใจนางหล่นวูบ ตะโกนด่า "เจ้าเป็นบ้าไปแล้วหรือไง ถึงมองข้าแบบนั้น?"

หลี่เว่ยหยางไม่มีเวลามาคิดใคร่ครวญว่าทำไมตนเองถึงได้ย้อนกลับมาตอนที่อายุ 13 ปี นางรู้สึกถึงแผ่นหยกในอกเสื้อของนาง แผ่นหยกนี้แม่แท้ๆของนางให้นางติดตัวไว้ตั้งแต่เกิด

บิดาของนางส่งนางมาอยู่กับญาติห่างๆในสกุลหลี่ตั้งแต่นางอายุได้ 7 ขวบ ในตอนแรกพวกเขาดูแลนางอย่างดี ให้นางมีคนดูแล มีบ่าวไพร่คอยรับใช้ แต่ท้ายที่สุด พวกเขาก็รับรู้ได้ว่าอัครมหาเสนาบดีหลี่ไม่มีความคิดที่จะนำบุตรีคนนี้กลับไปเมืองหลวง จากนั้น ใครบางคนจึงออกความคิดให้ส่งนางไปอยู่ขนบทกับครอบครัวชาวนาบ้านหนึ่ง แต่ละเดือน เงิน 10 ตำลึงจะถูกส่งมาเป็นค่าเลี้ยงดู

ทว่าหกเดือนก่อน เพราะเหตุใดไม่ทราบ ค่าเลี้ยงดูนี้กลับไม่ถูกส่งมาอีก นางหลิวเดินทางไปทวงถามถึงสามครั้ง แต่บรรดาญาติๆสกุลหลี่ก็ไม่สนใจ นางหลิวจึงยิ่งเกลียดชังหลี่เว่ยหยางนัก นางไม่เพียงใช้งานเว่ยหยางเยี่ยงทาส นางยังเป็นคนโหดร้ายทารุณ ชอบเรียกคนมาทุบตีเว่ยหยางจนร่างกายของเด็กสาวมีรอยฟกช้ำไปทั่วทั้งตัว

นางหลิวมองดูสภาพของหลี่เว่ยหยางแล้วขมวดคิ้ว "นังเด็กสำส่อน เป็นใบ้รึไง?"

แผ่นหยกนี้เป็นของสิ่งเดียวที่มารดาทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า นางเสี่ยงชีวิตเก็บซ่อนมันไว้ไม่ให้นางหลิวเห็น แต่วันนี้... หลี่เว่ยหยางเงยหน้ามองหญิงสูงวัย ความเย็นชาในแววตาเลือนหายไปในพริบตาเดียว แล้วถูกแทนที่ด้วยรอยยิ้มประจบประแจง "ท่านป้าโจว* ท่านดูแลข้ามานาน ข้าไม่มีสิ่งใดตอบแทนนอกจากหยกชิ้นนี้ ข้าจึงอยากมอบให้ท่านเป็นการแสดงความกตัญญู"

หากนางจำไม่ผิด แผ่นหยกรูปปลาคู่*ชิ้นนี้จะถูกนางหลิวค้นเจอและขโมยไปในอีกสองสัปดาห์ให้หลัง ในตอนนั้น นางพยายามแย่งมันคืนมาแต่กลับถูกทุบตีอย่างทารุณ ต่อมาเมื่อนางได้เป็นพระชายาขององค์ชายสาม นางจึงได้ส่งคนไปทวงกลับมา แต่กลับพบว่าหมู่บ้านแห่งนี้เกิดโรคระบาด ชาวบ้านส่วนใหญ่ล้มตายรวมถึงนางหลิวด้วย แผ่นหยกชิ้นนั้นจึงหายสาบสูญไป

นางหลิวแทบไม่เชื่อสายตาตนเองเมื่อเห็นว่าแผ่นหยกล้ำค่าที่นางปรารถนามาตลอดจะถูกหลี่เว่ยหยางนำมามอบให้ด้วยตัวเอง นางพึงพอใจเป็นอย่างมาก แต่ก็ยังทำแค่นเสียงเย็นชาขณะคว้าแผ่นหยกไปจากมือเว่ยหยาง "แค่นี้พอที่ไหนกัน!"

นางหม่าตกใจอย่างยิ่ง นางมองดูหลี่เว่ยหยางราวกับไม่เคยรู้จักเด็กสาวผู้นี้มาก่อน นางทราบดีว่าเว่ยหยางแอบซ่อนแผ่นหยกนี้ไว้อย่างระมัดระวังมาตลอด และไม่เคยยอมให้ใครแย่งมันไป แต่เหตุใดนางกลับยอมยกให้นางหลิวง่ายๆ...

นางหลิวกำแผ่นหยกนั้นไว้แน่น อารมณ์ดีขึ้นถนัดตา นางเชิดจมูกยิ้มเยาะ "เอาเถอะ! วันนี้ให้เจ้านอนต่อก็ได้ แต่พรุ่งนี้เจ้าต้องรีบตื่นมาทำงาน เข้าใจไหม!"

รอยยิ้มของหลี่เว่ยหยางทั้งสุภาพเรียบร้อยและเชื่อฟัง "ค่ะท่านป้าหลิว พรุ่งนี้ข้าจะตื่นแต่เช้ามาช่วยงานบ้าน"

นางหลิวเองก็แปลกใจกับความอ่อนน้อมของหลี่เว่ยหยาง นางกำลังจะพูดอะไรอีก แต่ทันใดนั้น ชายร่างสูงผู้หนึ่งก็ก้าวเข้ามา เมื่อชายผู้นั้นเห็นสภาพในห้องเขากลับมีท่าทีเหมือนเคยชินกับเหตุการณ์เช่นนี้ เขาเหลือบมองนางหม่าอย่างดูหมิ่นแล้วหัวเราะเสียงดัง "ท่านแม่ ท่านโมโหเรื่องอะไรอีกหรือ? มาเถอะ วันนี้ข้าซื้อผ้าไหมมาจากที่ตลาด เหมือนกับที่ฮูหยินหลี่เคยใส่ไม่มีผิด ท่านมาดูกับข้าเถอะ" แล้วเขาก็ลากนางหลิวออกไปด้านนอก

ขณะกำลังจะเดินออกไป นางหลิวยังหันมาขู่สะใภ้ "ถ้าจับได้ว่าเจ้าให้ข้าวนางกินอีกละก็ ข้าจะถลกหนังเจ้าแน่!"

หลังจากนางหลิวออกไปแล้ว นางหม่าก็เอามือปิดหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น

หลี่เว่ยหยางมองดูนางหม่าแล้วได้แต่ส่ายศีรษะ คนเราไม่ควรจะอ่อนแอและโง่เขลาถึงเพียงนี้ ยังมีอีกหลายวิธีที่นางจะแย่งแผ่นหยกนั้นคืนมา จะต่อกรกับหญิงสามานย์อย่างนางหลิวได้ นางต้องใช้วิธีการที่ชั่วร้ายเสียยิ่งกว่า!




*** คำอธิบายเพิ่มเติม ***

- ครอบครัวชาวนาที่เว่ยหยางอาศัยอยู่ด้วยตอนนี้คือ ครอบครัวสกุลโจว หัวหน้าครอบครัวชื่อ โจวฉิง ผู้หญิงจีนเวลาแต่งงานจะไม่เปลี่ยนแซ่ตามสามี แต่จะเรียกเป็นฮูหยินของตระกูลนั้นๆแทน เว่ยหยางเรียกนางหลิวว่า "ป้าโจว" ตามสกุลสามีนาง และเรียก "ป้าหลิว" ตามสกุลเดิม นางหม่าเองก็เป็นสะใภ้สกุลโจว แต่ใช้แซ่เดิมคือ หม่า

- หลี่เว่ยหยาง เป็นบุตรสาวคนที่สามของตระกูล เลยมีชื่อเรียกว่า คุณหนูสาม

- เหล่าไท่ คือ แม่ของนายท่านใหญ่ของตระกูล ในที่นี้คือแม่ของอัครมหาเสนาบดีหลี่ หรือก็คือ ย่าของเว่ยหยาง

- "ไม่ผลักก็ไม่ยอมเดิน คนอื่นใช้แค่สองก้าวแต่นางต้องเดินถึงสามก้าว" หมายความถึง คนโง่ หรือ คนขี้เกียจ ที่ต้องใช้เวลาทำอะไรนานกว่าคนปกติ

- แผ่นหยกรูปปลาคู่ จริงๆเป็นหยกที่มีสัญลักษณ์ราศีมีน เข้าใจว่าน่าจะเป็นสัญลักษณ์ประจำราศีเกิดของเว่ยหยาง




ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

[องค์หญิงเว่ยหยาง] บทที่ 5 - สุกรหลุดจากคอก

นางหลิวเจ็บหนักจนต้องพักรักษาตัวอยู่บนเตียงนานถึงเจ็ดวัน ในช่วงเวลาเจ็ดวันนี้ โจวหลานซิ่วยังคงด่าทอเว่ยหยางอยู่ตามเคย แต่ไม่มีใครกล้าลงมื...