วันนี้เป็นวันที่ 12 เดือนกุมภาพันธ์ ในปีที่ 31
แห่งรัชสมัยหยงหมิง นางได้ย้อนเวลากลับมา 23 ปี ในขณะที่ตนเองอายุได้ 13 ปี
คืนนั้นทั้งคืน
หลี่เว่ยหยางต้องตรอมตรมกับความทรงจำจาก "ชาติปางก่อน" ของตัวเอง
นางไม่อาจร้องไห้ฟูมฟายได้เพราะห้องที่อาศัยนั้นช่างคับแคบ เสียงร้องเพียงแผ่วเบาก็อาจทำให้คนอื่นในบ้านได้ยิน
นางจึงได้แต่กลั้นสะอื้นไว้ นางหวาดหวั่นเหลือเกินว่า
หากหลับตาลงแล้วตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
นางอาจจะกลับไปเป็นหญิงขาด้วนที่ถูกทิ้งไว้ในตำหนักเย็น นางเข็ดขยาดกับชื่อคนสกุลหลี่นัก
เว้นแต่ยามที่นางนึกถึงสองคนนั้นที่นางเกลียดที่สุด
สองคนนั้นที่เสวยสุขอยู่ในเมืองหลวง นางเจ็บใจจนอยากจะสับพวกมันเป็นหมื่นๆชิ้น
หลังจากร้องไห้ระบายความคับแค้นใจออกไปจนน้ำตาแห้งเหือด
นางก็ค่อยสงบลง หลี่เว่ยหยางมองผ่านหน้าต่างห้องนอนไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน
ดวงตาของนางทั้งดำมืดและเดียวดาย
เมื่อชาติที่แล้ว
นางเคยเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำหน้าที่ของตนให้ดี
รู้จักหน้าที่ของตนแล้วทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถ
แล้วนางก็จะได้รับสิ่งดีๆตอบแทนเอง
แต่ใครจะคิดว่าความเชื่อเช่นนั้นจะเป็นแค่ภาพลวงตาไร้สาระ
ผลตอบแทนความดีและมีเมตตาของนาง กลับกลายเป็นการถูกทรยศหักหลังอย่างเลือดเย็นและความชอกช้ำใจจนแทบกระอักเลือด
บิดาของนางเป็นคนแล้งน้ำใจ สามีของนางรึเจ้าคิดเจ้าแค้น
ส่วนผู้หญิงคนนั้นที่นางคิดมาตลอดว่าเป็นพี่สาวที่แสนดี...
ถึงรูปโฉมของนางจะไม่อาจเทียบได้กับหลี่ฉางเล่อ
แต่นางก็ซื่อสัตย์และภักดีกับทั่วป๋าเจินมาตลอด เพื่อเขาแล้วนางไม่แยแสต่อความตาย และหากไม่เพราะนาง
เขาก็คงตายไปนานแล้ว ถ้าไม่มีนาง เขาคงไม่มีวันได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิด้วยซ้ำ
แต่นางกลับกลายเป็นผู้ที่ถูกเขี่ยทิ้ง ถูกจองจำอยู่ในตำหนักเย็นนั่น
สวรรค์ได้ให้โอกาสนางเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง
หลี่เว่ยหยางสูดลมหายใจลึก สายตาแน่วแน่ตั้งใจ
ไม่มีเหตุผลอันใดที่นางควรจะเมตตาคนพวกนั้น
วันหนึ่งนางจะต้องให้พวกมันแต่ละคนได้ชดใช้ในสิ่งที่เคยทำไว้กับนาง!
คืนยามเคลื่อนผ่านเข้าสู่วันใหม่
นางหม่ายืนลังเลอยู่หน้าห้อง
นางไม่แน่ใจว่าควรเข้าไปปลุกหลี่เว่ยหยางดีหรือไม่
ไก่ใกล้จะขันปลุกยามเช้าแล้ว และถ้าเว่ยหยางยังไม่ยอมตื่น
นางก็คงถูกนางหลิวดุด่าอีกเป็นแน่ นางหม่าใคร่ครวญแล้วก็ค่อยๆก้าวเข้าไปในห้องเล็ก
แต่นางกลับพบว่าห้องว่างเปล่า เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนางก็เริ่มกลัวขึ้นมา
เว่ยหยางหายไปไหนกัน? ยิ่งเห็นว่าห้องนั้นสะอาดเรียบร้อยดี นางก็ยิ่งประหลาดใจ
ยามนั้น เว่ยหยางกำลังเดินไปมาอยู่ในครัว
นางต้มนมถั่วเหลืองเสร็จแล้ว นางเทข้าวต้มร้อนๆลงในชามข้าวของทุกคน
พร้อมกับวางแตงกวาดองไว้เป็นเครื่องเคียง
สุดท้ายจึงวางหม้อข้าวต้มที่เหลือนั้นลงบนโต๊ะ
เมื่อเห็นความประหลาดใจบนใบหน้าของนางหม่าที่เดินเข้ามาในครัว
เว่ยหยางก็ยิ้มให้ "พี่เหลียนซื่อ
ข้าเตรียมมื้อเช้าให้พวกท่านเรียบร้อยแล้วค่ะ"
ชื่อเดิมของนางหม่าคือ เหลียนซื่อ
แต่เว่ยหยางไม่เคยเรียกนางด้วยท่าทีสนิทสนมแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่
เด็กสาวก็เอาแต่หวาดกลัว พร้อมจะร่ำไห้ได้ตลอดเวลา
แน่นอนว่าหลี่เว่ยหยางเองก็ทราบดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร
ก่อนหน้านี้นางมีบ่าวไพร่คอยดูแลมาตลอด แต่อยู่ๆก็ถูกส่งมาอยู่ชนบทให้ดิ้นรนเอาตัวรอดเอง
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่นางจะรู้สึกทนไม่ได้ ยิ่งช่วงครึ่งปีมานี้นางหลิวไม่ได้รับค่าเลี้ยงดูตอบแทนเหมือนอย่างเคย
จึงยิ่งดุร้ายและตบตีนางรุนแรงขึ้น เว่ยหยางคนก่อนถึงได้มีแต่ความหวาดกลัวอยู่ตลอด
แต่ยามนี้
ยามที่นางได้พบเจอกับความเหี้ยมโหดของทั่วป๋าเจิน
ต้องทนทรมานกับความเจ็บปวดในการสูญเสียขาทั้งสองข้าง และการถูกกักขังอยู่ถึง 12 ปี
ความดุร้ายของนางหลิวแทบไม่ได้มีความสลักสำคัญอันใด
นางไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นขวากหนามในชีวิตของเว่ยหยางด้วยซ้ำ
นางก็แค่ก้อนดินข้างถนน ไม่มีอะไรน่ากลัวสักนิด
เมื่อคิดได้เช่นนี้ เว่ยหยางจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า
"ท่านป้าโจวกับคนอื่นๆคงใกล้จะออกมาแล้ว พี่เหลียนซื่อรีบไปเตรียมตัวเถิดค่ะ"
บ้านหลังนี้มีสมาชิกทั้งหมด 5 คน
หัวหน้าครอบครัวชื่อ โจวชิง เป็นคนดูแลสวนของคฤหาสถ์หลี่เต๋อ
และมักจะไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน ภรรยาของโจวชิงก็คือนางหลิว บุตรชายคนโตของพวกเขาคือ
โจวเจียง มีนางหม่าเป็นสะใภ้ สุดท้ายคือบุตรสาวคนเล็ก โจวหลานซิ่ว
นางหม่าจ้องมองเว่ยหยางอย่างสับสน
แต่เว่ยหยางแค่เพียงยิ้มให้แล้วหลบออกไปข้างนอก
ประตูรั้วบ้านซอมซ่อถูกเปิดออกขณะที่เด็กสาวท่าทางประหลาดเดินออกมาพร้อมกับถังไม้ใบใหญ่ในมือ
ถังไม้นั้นมีผ้าสกปรกบรรจุอยู่เต็ม
เด็กสาวแต่งกายด้วยชุดสีฟ้าที่แทบจะกลายเป็นสีดำจากการซักล้าง
ด้านหลังของชุดยังมีรอยปะชุนทั่ว เรือนผมดำยาวของนางถูกมัดเป็นมวยเล็กๆสองข้าง
แม้จะแต่งกายราวกับนุ่งผ้าขี้ริ้วแต่ท่าทางของนางสงบนิ่ง นางมีใบหน้ารูปไข่
ผิวพรรณขาวผุดผาด คิ้วโก่ง ดวงตาเรียวยาวมีแววสดใสเจิดจ้า จมูกของนางโด่งได้รูป
ริมฝีปากจิ้มลิ้ม เส้นผมดำยาวช่วยขับให้เรือนร่างของนางเฉิดฉายยิ่ง
ทำให้เสื้อผ้าซอมซ่อดูน่ามองขึ้นมา เทียบกับเด็กสาวอื่นๆในหมู่บ้านแล้ว นางงดงามจับตากว่าอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะเหตุนี้ ทุกคราที่นางออกมาจากบ้านสกุลโจว ก็มักจะมีสายตาคอยจับจ้องมาเสมอ
หลี่เว่ยหยางสวมใส่เสื้อผ้าราคาถูก หน้าตาก็ไม่ได้แต่ง
แต่ใบหน้าของนางช่างสงบนิ่งราวกับไม่รับรู้ถึงการจ้องมองของผู้คน
นางลากถังไม้ในมือมุ่งตรงไปยังแม่น้ำ
ความงามจะมีประโยชน์อันใดกัน? ความจริงตัวนางในชาติก่อนก็เคยคิดว่ารูปโฉมของตนเองไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
แต่เมื่อกลับไปเมืองหลวงและได้พบกับหลี่ฉางเล่อ นางถึงรู้ความหมายของคำว่า
งดงามราวกับเทพธิดา เทียบกับฉางเล่อแล้ว นางก็แค่สาวงามที่หาได้ดาษดื่นเท่านั้น
หลี่เว่ยหยางเดินมาหยุดที่ริมฝั่งแม่น้ำแล้วค่อยๆนั่งลง
นางใช้ไม้ตีผ้าซักคราบไคลและสิ่งสกปรกออกจากเนื้อผ้า ไม้ตีกระทบผ้าเกิดเสียงดังเป็นจังหวะ
แต่ละครั้งน้ำจะกระเด็นโดนใบหน้าและเสื้อผ้าของนาง แต่นางหาได้ใส่ใจไม่
สีหน้าของนางไม่เปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ
เด็กสาวคนอื่นๆที่มาซักผ้าเริ่มสังเกตเห็นนาง
ต่างสะกิดชี้ชวนมาทางนี้ พวกนางหัวเราะกระซิบกระซาบกันเหมือนฝูงนกกระจอก
"ดูนั่นซิ
คุณหนูคนงามกำลังซักผ้าอยู่แน่ะ"
"น่าสมเพชเสียจริง! ดูชุดที่นางใส่อยู่สิ
เทียบกับเสื้อผ้าพวกเราไม่ได้ด้วยซ้ำ"
"นางเป็นลูกสาวอัครมหาเสนาบดีจริงๆหรือ?
ทำไมไม่เห็นมีขุนนางมาเคารพนางสักคน?"
"เจ้าไม่รู้หรือ? นางน่ะเกิดเดือนกุมภาพันธ์
ว่ากันว่าพอเกิดมาก็ทำให้พ่อตัวเองโชคร้าย! พวกเขาถึงรีบถีบหัวนางออกจากบ้าน
พูดอีกทีก็คือพวกเขาไม่ต้องการเห็นหน้านางอีก!"
"โอ้ ถ้าเช่นนั้น
เกิดเป็นสาวชาวบ้านอย่างพวกเรายังดีกว่าเป็นลูกสาวเสนาบดีแต่ไม่มีใครต้องการเยอะ
ถ้าข้าเป็นนางคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!"
"ถูกของเจ้า! ให้ข้าแลกที่กับนาง
ข้ายังไม่เอาเลย!"
หลี่เว่ยหยางได้ยินทุกคำพูดอย่างชัดเจน
นางจำได้ว่าตอนยังเล็ก นางเคยเพ้อฝันว่าวันหนึ่งจะได้กลับไปเมืองหลวง
ได้ใช้ชีวิตที่สุขสบาย แต่ทุกครั้งที่นางคิดถึงเรื่องนี้ ความเศร้าโศกในโชคชะตาของตนก็จะยิ่งทวีคุณ...
มุมปากของนางยกขึ้น เมื่อชาติก่อน
คำพูดเหล่านี้ทำให้นางต้องเสียน้ำตาเป็นพันครั้ง
แต่ตอนนี้นางเพียงแค่ลุกขึ้นแล้วย้ายไปทางต้นน้ำ
ผ้าที่นางซักเป็นถุงเท้าของนางหลิวที่ทั้งสกปรกและเหม็นหืน
หลี่เว่ยหยางจับปลายผ้าไว้แล้วใช้ไม้ตีแรงๆ
น้ำสกปรกก็ไหลตามน้ำไปยังจุดที่บรรดาเด็กสาวกำลังนั่งอยู่
พวกนางมัวแต่กระซิบกระซาบกันสนุกปากจนไม่สังเกตเห็น
เมื่อซักผ้าเสร็จเรียบร้อย
เว่ยหยางก็คว้าถังแล้วยืนขึ้น
ทุกคนมองดูนางอย่างประหลาดใจ
ต่างรู้สึกว่านางมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป พวกเขาพูดจาร้ายกาจสารพัดแต่นางกลับยังนิ่งเฉย
ราวกับ - ราวกับว่านางเป็นผู้ใหญ่ที่กำลังดูเด็กเล็กเล่นสนุกกัน...
พอนางกลับมาที่บ้านสกุลโจว
ท้องฟ้าก็สว่างเจิดจ้าแล้ว
นางหลิวทานข้าวเรียบร้อยแล้วและกำลังนั่งแคะฟันอยู่ตรงระเบียง
เห็นหน้าเว่ยหยางนางก็ขมวดคิ้ว ทำท่าจะพูดอะไร แต่เหตุใดไม่ทราบ
นางกลับเลือกจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าบ้านไปแทน
นางหม่าเดินมาหาเว่ยหยางแล้วยื่นขนมปังให้ก้อนหนึ่ง
กล่าวด้วยเสียงเล็กๆของนาง "ท่านพ่อกลับมาบ้านแล้ว"
โจวชิงหรือ?
หลี่เว่ยหยางเลิกคิ้วมองนางหม่า
นางหม่าชะงักไป
หลี่เว่ยหยางยังเด็กนักแต่แววตาของนาง... มีบางอย่างที่ผิดไปจากอายุของนาง นางดูเป็นผู้ใหญ่และมีความแข็งแกร่ง
มิน่าเล่า นางหลิวถึงไม่กล้าดุด่าอะไรนางวันนี้...
หลี่เว่ยหยางเผยยิ้มสดใสราวดอกไม้แรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ นางก้มศีรษะขอบคุณนางหม่าแล้วรีบทานขนมปังก้อนนั้น
ขนมปังนั้นแห้งแข็งจนนางเจ็บคอแต่นางกลับกลืนกินมันอย่างมีความสุข
นั่นเป็นเพราะ
โอกาสที่จะสั่งสอนนางหลิวได้มาถึงแล้ว.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น