วันอังคารที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2560

[องค์หญิงเว่ยหยาง] บทที่ 3 - มื้ออาหารแสนสมถะ


วันนี้เป็นวันที่ 12 เดือนกุมภาพันธ์ ในปีที่ 31 แห่งรัชสมัยหยงหมิง นางได้ย้อนเวลากลับมา 23 ปี ในขณะที่ตนเองอายุได้ 13 ปี

คืนนั้นทั้งคืน หลี่เว่ยหยางต้องตรอมตรมกับความทรงจำจาก "ชาติปางก่อน" ของตัวเอง นางไม่อาจร้องไห้ฟูมฟายได้เพราะห้องที่อาศัยนั้นช่างคับแคบ เสียงร้องเพียงแผ่วเบาก็อาจทำให้คนอื่นในบ้านได้ยิน นางจึงได้แต่กลั้นสะอื้นไว้ นางหวาดหวั่นเหลือเกินว่า หากหลับตาลงแล้วตื่นขึ้นมาอีกครั้ง นางอาจจะกลับไปเป็นหญิงขาด้วนที่ถูกทิ้งไว้ในตำหนักเย็น นางเข็ดขยาดกับชื่อคนสกุลหลี่นัก เว้นแต่ยามที่นางนึกถึงสองคนนั้นที่นางเกลียดที่สุด สองคนนั้นที่เสวยสุขอยู่ในเมืองหลวง นางเจ็บใจจนอยากจะสับพวกมันเป็นหมื่นๆชิ้น

หลังจากร้องไห้ระบายความคับแค้นใจออกไปจนน้ำตาแห้งเหือด นางก็ค่อยสงบลง หลี่เว่ยหยางมองผ่านหน้าต่างห้องนอนไปยังท้องฟ้ายามค่ำคืน ดวงตาของนางทั้งดำมืดและเดียวดาย

เมื่อชาติที่แล้ว นางเคยเชื่อว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทำหน้าที่ของตนให้ดี รู้จักหน้าที่ของตนแล้วทำทุกอย่างอย่างสุดความสามารถ แล้วนางก็จะได้รับสิ่งดีๆตอบแทนเอง แต่ใครจะคิดว่าความเชื่อเช่นนั้นจะเป็นแค่ภาพลวงตาไร้สาระ ผลตอบแทนความดีและมีเมตตาของนาง กลับกลายเป็นการถูกทรยศหักหลังอย่างเลือดเย็นและความชอกช้ำใจจนแทบกระอักเลือด

บิดาของนางเป็นคนแล้งน้ำใจ สามีของนางรึเจ้าคิดเจ้าแค้น ส่วนผู้หญิงคนนั้นที่นางคิดมาตลอดว่าเป็นพี่สาวที่แสนดี... ถึงรูปโฉมของนางจะไม่อาจเทียบได้กับหลี่ฉางเล่อ แต่นางก็ซื่อสัตย์และภักดีกับทั่วป๋าเจินมาตลอด เพื่อเขาแล้วนางไม่แยแสต่อความตาย และหากไม่เพราะนาง เขาก็คงตายไปนานแล้ว ถ้าไม่มีนาง เขาคงไม่มีวันได้ขึ้นเป็นจักรพรรดิด้วยซ้ำ แต่นางกลับกลายเป็นผู้ที่ถูกเขี่ยทิ้ง ถูกจองจำอยู่ในตำหนักเย็นนั่น

สวรรค์ได้ให้โอกาสนางเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง หลี่เว่ยหยางสูดลมหายใจลึก สายตาแน่วแน่ตั้งใจ ไม่มีเหตุผลอันใดที่นางควรจะเมตตาคนพวกนั้น วันหนึ่งนางจะต้องให้พวกมันแต่ละคนได้ชดใช้ในสิ่งที่เคยทำไว้กับนาง!

คืนยามเคลื่อนผ่านเข้าสู่วันใหม่

นางหม่ายืนลังเลอยู่หน้าห้อง

นางไม่แน่ใจว่าควรเข้าไปปลุกหลี่เว่ยหยางดีหรือไม่ ไก่ใกล้จะขันปลุกยามเช้าแล้ว และถ้าเว่ยหยางยังไม่ยอมตื่น นางก็คงถูกนางหลิวดุด่าอีกเป็นแน่ นางหม่าใคร่ครวญแล้วก็ค่อยๆก้าวเข้าไปในห้องเล็ก แต่นางกลับพบว่าห้องว่างเปล่า เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ในห้องนางก็เริ่มกลัวขึ้นมา

เว่ยหยางหายไปไหนกัน? ยิ่งเห็นว่าห้องนั้นสะอาดเรียบร้อยดี นางก็ยิ่งประหลาดใจ

ยามนั้น เว่ยหยางกำลังเดินไปมาอยู่ในครัว นางต้มนมถั่วเหลืองเสร็จแล้ว นางเทข้าวต้มร้อนๆลงในชามข้าวของทุกคน พร้อมกับวางแตงกวาดองไว้เป็นเครื่องเคียง สุดท้ายจึงวางหม้อข้าวต้มที่เหลือนั้นลงบนโต๊ะ

เมื่อเห็นความประหลาดใจบนใบหน้าของนางหม่าที่เดินเข้ามาในครัว เว่ยหยางก็ยิ้มให้ "พี่เหลียนซื่อ ข้าเตรียมมื้อเช้าให้พวกท่านเรียบร้อยแล้วค่ะ"

ชื่อเดิมของนางหม่าคือ เหลียนซื่อ แต่เว่ยหยางไม่เคยเรียกนางด้วยท่าทีสนิทสนมแบบนี้มาก่อน ตั้งแต่นางมาอยู่ที่นี่ เด็กสาวก็เอาแต่หวาดกลัว พร้อมจะร่ำไห้ได้ตลอดเวลา

แน่นอนว่าหลี่เว่ยหยางเองก็ทราบดีว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไร ก่อนหน้านี้นางมีบ่าวไพร่คอยดูแลมาตลอด แต่อยู่ๆก็ถูกส่งมาอยู่ชนบทให้ดิ้นรนเอาตัวรอดเอง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่นางจะรู้สึกทนไม่ได้ ยิ่งช่วงครึ่งปีมานี้นางหลิวไม่ได้รับค่าเลี้ยงดูตอบแทนเหมือนอย่างเคย จึงยิ่งดุร้ายและตบตีนางรุนแรงขึ้น เว่ยหยางคนก่อนถึงได้มีแต่ความหวาดกลัวอยู่ตลอด

แต่ยามนี้ ยามที่นางได้พบเจอกับความเหี้ยมโหดของทั่วป๋าเจิน ต้องทนทรมานกับความเจ็บปวดในการสูญเสียขาทั้งสองข้าง และการถูกกักขังอยู่ถึง 12 ปี ความดุร้ายของนางหลิวแทบไม่ได้มีความสลักสำคัญอันใด นางไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นขวากหนามในชีวิตของเว่ยหยางด้วยซ้ำ นางก็แค่ก้อนดินข้างถนน ไม่มีอะไรน่ากลัวสักนิด

เมื่อคิดได้เช่นนี้ เว่ยหยางจึงยิ้มแล้วกล่าวว่า "ท่านป้าโจวกับคนอื่นๆคงใกล้จะออกมาแล้ว พี่เหลียนซื่อรีบไปเตรียมตัวเถิดค่ะ"

บ้านหลังนี้มีสมาชิกทั้งหมด 5 คน หัวหน้าครอบครัวชื่อ โจวชิง เป็นคนดูแลสวนของคฤหาสถ์หลี่เต๋อ และมักจะไม่ค่อยอยู่ติดบ้าน ภรรยาของโจวชิงก็คือนางหลิว บุตรชายคนโตของพวกเขาคือ โจวเจียง มีนางหม่าเป็นสะใภ้ สุดท้ายคือบุตรสาวคนเล็ก โจวหลานซิ่ว

นางหม่าจ้องมองเว่ยหยางอย่างสับสน แต่เว่ยหยางแค่เพียงยิ้มให้แล้วหลบออกไปข้างนอก

ประตูรั้วบ้านซอมซ่อถูกเปิดออกขณะที่เด็กสาวท่าทางประหลาดเดินออกมาพร้อมกับถังไม้ใบใหญ่ในมือ ถังไม้นั้นมีผ้าสกปรกบรรจุอยู่เต็ม เด็กสาวแต่งกายด้วยชุดสีฟ้าที่แทบจะกลายเป็นสีดำจากการซักล้าง ด้านหลังของชุดยังมีรอยปะชุนทั่ว เรือนผมดำยาวของนางถูกมัดเป็นมวยเล็กๆสองข้าง แม้จะแต่งกายราวกับนุ่งผ้าขี้ริ้วแต่ท่าทางของนางสงบนิ่ง นางมีใบหน้ารูปไข่ ผิวพรรณขาวผุดผาด คิ้วโก่ง ดวงตาเรียวยาวมีแววสดใสเจิดจ้า จมูกของนางโด่งได้รูป ริมฝีปากจิ้มลิ้ม เส้นผมดำยาวช่วยขับให้เรือนร่างของนางเฉิดฉายยิ่ง ทำให้เสื้อผ้าซอมซ่อดูน่ามองขึ้นมา เทียบกับเด็กสาวอื่นๆในหมู่บ้านแล้ว นางงดงามจับตากว่าอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะเหตุนี้ ทุกคราที่นางออกมาจากบ้านสกุลโจว ก็มักจะมีสายตาคอยจับจ้องมาเสมอ

หลี่เว่ยหยางสวมใส่เสื้อผ้าราคาถูก หน้าตาก็ไม่ได้แต่ง แต่ใบหน้าของนางช่างสงบนิ่งราวกับไม่รับรู้ถึงการจ้องมองของผู้คน นางลากถังไม้ในมือมุ่งตรงไปยังแม่น้ำ

ความงามจะมีประโยชน์อันใดกัน? ความจริงตัวนางในชาติก่อนก็เคยคิดว่ารูปโฉมของตนเองไม่ธรรมดาเลยทีเดียว แต่เมื่อกลับไปเมืองหลวงและได้พบกับหลี่ฉางเล่อ นางถึงรู้ความหมายของคำว่า งดงามราวกับเทพธิดา เทียบกับฉางเล่อแล้ว นางก็แค่สาวงามที่หาได้ดาษดื่นเท่านั้น

หลี่เว่ยหยางเดินมาหยุดที่ริมฝั่งแม่น้ำแล้วค่อยๆนั่งลง นางใช้ไม้ตีผ้าซักคราบไคลและสิ่งสกปรกออกจากเนื้อผ้า ไม้ตีกระทบผ้าเกิดเสียงดังเป็นจังหวะ แต่ละครั้งน้ำจะกระเด็นโดนใบหน้าและเสื้อผ้าของนาง แต่นางหาได้ใส่ใจไม่ สีหน้าของนางไม่เปลี่ยนเลยด้วยซ้ำ

เด็กสาวคนอื่นๆที่มาซักผ้าเริ่มสังเกตเห็นนาง ต่างสะกิดชี้ชวนมาทางนี้ พวกนางหัวเราะกระซิบกระซาบกันเหมือนฝูงนกกระจอก

"ดูนั่นซิ คุณหนูคนงามกำลังซักผ้าอยู่แน่ะ"

"น่าสมเพชเสียจริง! ดูชุดที่นางใส่อยู่สิ เทียบกับเสื้อผ้าพวกเราไม่ได้ด้วยซ้ำ"

"นางเป็นลูกสาวอัครมหาเสนาบดีจริงๆหรือ? ทำไมไม่เห็นมีขุนนางมาเคารพนางสักคน?"

"เจ้าไม่รู้หรือ? นางน่ะเกิดเดือนกุมภาพันธ์ ว่ากันว่าพอเกิดมาก็ทำให้พ่อตัวเองโชคร้าย! พวกเขาถึงรีบถีบหัวนางออกจากบ้าน พูดอีกทีก็คือพวกเขาไม่ต้องการเห็นหน้านางอีก!"

"โอ้ ถ้าเช่นนั้น เกิดเป็นสาวชาวบ้านอย่างพวกเรายังดีกว่าเป็นลูกสาวเสนาบดีแต่ไม่มีใครต้องการเยอะ ถ้าข้าเป็นนางคงไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้ว!"

"ถูกของเจ้า! ให้ข้าแลกที่กับนาง ข้ายังไม่เอาเลย!"

หลี่เว่ยหยางได้ยินทุกคำพูดอย่างชัดเจน นางจำได้ว่าตอนยังเล็ก นางเคยเพ้อฝันว่าวันหนึ่งจะได้กลับไปเมืองหลวง ได้ใช้ชีวิตที่สุขสบาย แต่ทุกครั้งที่นางคิดถึงเรื่องนี้ ความเศร้าโศกในโชคชะตาของตนก็จะยิ่งทวีคุณ...

มุมปากของนางยกขึ้น เมื่อชาติก่อน คำพูดเหล่านี้ทำให้นางต้องเสียน้ำตาเป็นพันครั้ง แต่ตอนนี้นางเพียงแค่ลุกขึ้นแล้วย้ายไปทางต้นน้ำ

ผ้าที่นางซักเป็นถุงเท้าของนางหลิวที่ทั้งสกปรกและเหม็นหืน หลี่เว่ยหยางจับปลายผ้าไว้แล้วใช้ไม้ตีแรงๆ น้ำสกปรกก็ไหลตามน้ำไปยังจุดที่บรรดาเด็กสาวกำลังนั่งอยู่ พวกนางมัวแต่กระซิบกระซาบกันสนุกปากจนไม่สังเกตเห็น

เมื่อซักผ้าเสร็จเรียบร้อย เว่ยหยางก็คว้าถังแล้วยืนขึ้น

ทุกคนมองดูนางอย่างประหลาดใจ ต่างรู้สึกว่านางมีอะไรบางอย่างเปลี่ยนแปลงไป พวกเขาพูดจาร้ายกาจสารพัดแต่นางกลับยังนิ่งเฉย ราวกับ - ราวกับว่านางเป็นผู้ใหญ่ที่กำลังดูเด็กเล็กเล่นสนุกกัน...

พอนางกลับมาที่บ้านสกุลโจว ท้องฟ้าก็สว่างเจิดจ้าแล้ว นางหลิวทานข้าวเรียบร้อยแล้วและกำลังนั่งแคะฟันอยู่ตรงระเบียง เห็นหน้าเว่ยหยางนางก็ขมวดคิ้ว ทำท่าจะพูดอะไร แต่เหตุใดไม่ทราบ นางกลับเลือกจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับเข้าบ้านไปแทน

นางหม่าเดินมาหาเว่ยหยางแล้วยื่นขนมปังให้ก้อนหนึ่ง กล่าวด้วยเสียงเล็กๆของนาง "ท่านพ่อกลับมาบ้านแล้ว"

โจวชิงหรือ? หลี่เว่ยหยางเลิกคิ้วมองนางหม่า

นางหม่าชะงักไป หลี่เว่ยหยางยังเด็กนักแต่แววตาของนาง... มีบางอย่างที่ผิดไปจากอายุของนาง นางดูเป็นผู้ใหญ่และมีความแข็งแกร่ง

มิน่าเล่า นางหลิวถึงไม่กล้าดุด่าอะไรนางวันนี้... หลี่เว่ยหยางเผยยิ้มสดใสราวดอกไม้แรกแย้มในฤดูใบไม้ผลิ นางก้มศีรษะขอบคุณนางหม่าแล้วรีบทานขนมปังก้อนนั้น ขนมปังนั้นแห้งแข็งจนนางเจ็บคอแต่นางกลับกลืนกินมันอย่างมีความสุข

นั่นเป็นเพราะ โอกาสที่จะสั่งสอนนางหลิวได้มาถึงแล้ว.


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

[องค์หญิงเว่ยหยาง] บทที่ 5 - สุกรหลุดจากคอก

นางหลิวเจ็บหนักจนต้องพักรักษาตัวอยู่บนเตียงนานถึงเจ็ดวัน ในช่วงเวลาเจ็ดวันนี้ โจวหลานซิ่วยังคงด่าทอเว่ยหยางอยู่ตามเคย แต่ไม่มีใครกล้าลงมื...