เมื่อเทียบกับภรรยาของเขาแล้ว โจวชิงเป็นชายที่รู้จักมองการณ์ไกลกว่า เขารู้จักเหลือทางหนีทีไล่ให้ตัวเอง จึงได้ปฎิบัติต่อหลี่เว่ยหยางอย่างดีเสมอมา เพราะฉะนั้น ทุกคราที่เขากลับมาบ้าน เว่ยหยางจะได้อยู่อย่างสงบไปหลายวัน
หลังจากเตรียมอาหารเรียบร้อยแล้ว
เว่ยหยางก็ดับไฟ ดวงตานางพร่ามัวด้วยควันฟืน สักพักหนึ่งนางจึงค่อยลุกขึ้น ขณะกำลังบีบนวดแขนขาที่เมื่อยล้าอยู่นั้น เสียงหนึ่งก็ดังเข้ามา
"ยัยตัวดี เอาแต่ขี้เกียจอีกแล้ว
ยังไม่รีบทำความสะอาดครัวอีก! เดี๋ยวถ้าข้ากลับมาแล้วเจ้ายังขี้เกียจอยู่อีกละก็น่าดู!"
หลี่เว่ยหยางเหลือบตามองเด็กสาวที่ยืนเท้าเอวจ้องมองนางอยู่ตรงประตู
เด็กสาวผู้นี้อายุมากกว่านางเพียงปีเดียวเท่านั้น แต่กลับสูงกว่านางเกือบหนึ่งช่วงศีรษะ ใบหน้าของเด็กหญิงหมดจด
ทว่าพฤติกรรมของนางน่ารังเกียจจนทำลายความงามตามธรรมชาติของนาง
โจวหลานซิ่วจับจ้องเรือนร่างอรชรและท่าทีสง่างามของหลี่เว่ยหยางด้วยความริษยา
นางส่งเสียงฮึแล้วหมุนกายเตรียมเดินจากไป พลางออกคำสั่งข้ามไหล่มา
"อย่าลืมล้างหม้อไหให้สะอาดด้วยนะ พื้นก็ต้องเช็ดอย่าให้เหลือคราบน้ำ
แล้วข้าวของพวกนี้ก็เก็บให้เรียบร้อยด้วย"
หลี่เว่ยหยางยืนอยู่กลางครัว
นางมองตามหลังเด็กสาวแล้วเผยยิ้มออกมา ครึ่งชั่วยามต่อมานางจึงล้างหม้อไหเสร็จเรียบร้อย
แล้วก้มตัวลงมือเช็ดพื้นต่อ
ตอนนั้นเอง
โจวหลานซิ่วชะโงกศีรษะผ่านหน้าต่างเข้ามา
"เจ้าเช็ดอย่างนั้นแล้วเมื่อไรมันจะสะอาด คุกเข่าลงเช็ดดีๆสิ! ทำไมถึงโง่เง่าอย่างนี้นะ! น้ำในโอ่งก็หมดแล้ว
เช็ดพื้นเสร็จแล้วก็ไปหาบน้ำมาด้วย ได้ยินไหม?"
หลี่เว่ยหยางเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นมาบนหน้าผากและคาง
แล้วลงมือทำงานต่อ
มันมักจะเป็นเช่นนี้มาตลอด ความจริงโจวหลานซิ่วที่มีฐานะเป็นแค่ลูกสาวชาวไร่ชาวนา ควรต้องทำงานหนักเช่นกัน แต่นางกลับหาเรื่องโยนงานให้เว่ยหยางทำเสมอ
พองานเสร็จจึงโผล่หน้ามารับความดีความชอบ
นางมักจะแกล้งบ่นเสมอว่าตนเองเหน็ดเหนื่อยวุ่นวายเพียงใด โอดครวญว่านางต้องลำบากคอยดูแลคุณหนูหลี่ที่ทำอะไรไม่เป็นสักอย่าง
ไม่เพียงเท่านั้น อาหารแต่ละมื้อของเว่ยหยางมีเพียงแค่ขนมปังแข็งๆสองก้อน กับซุปเพียงเล็กน้อย
ก่อนหน้านี้ หลี่เว่ยหยางมักจะร้องไห้คร่ำครวญยามที่ต้องทำงานหนัก แต่ตอนนี้
นางไม่สนใจเรื่องเหล่านี้อีกแล้ว ไม่ว่างานจะหนักหนาสาหัสเพียงใด นางก็ยังทนไหว
คืนนั้น โจวชิงไม่ได้อยู่ทานมื้อเย็นที่บ้าน
เขาถูกเชิญไปทานข้าวที่บ้านผู้ใหญ่บ้าน คนดูแลสวนอย่างเขามีอยู่มากมายที่คฤหาสน์สกุลหลี่แห่งพิงเฉิง
แต่ในหมู่บ้านเล็กๆเช่นนี้ ตำแหน่งของเขาก็มีคนนับหน้าถือตาอยู่พอสมควร
หลี่เว่ยหยางทราบดีว่าโจวชิงเป็นคนดื่มเหล้าเก่ง
เขามักจะดื่มจนเลยเที่ยงคืนไปแล้วถึงกลับมาบ้าน จึงเป็นโอกาสดีที่นางจะทำตามแผน
นางนับเวลาคอยจนเกือบเที่ยงคืนแล้วหยิบผ้าแดงที่แอบเก็บซ่อนไว้ตอนไปซักผ้าออกมา
นางเปิดประตูเดินออกไปที่รั้ว ผูกผ้าแดงนั้นไว้แล้วยืนจ้องมองมันอยู่นาน เว่ยหยางหัวเราะเบาๆก่อนจะรีบกลับเข้าบ้านไป
กลางดึกคืนนั้น ประตูรั้วถูกผลักเปิดออก
หลี่เว่ยหยางเงี่ยหูฟังอย่างตั้งใจ นางได้ยินเสียงพูดคุยแต่ก็แกล้งหลับทำเหมือนไม่ได้ยินอะไร
ชั่วเวลานั้นเอง โจวชิงก็เมามายกลับมาบ้าน ทันเห็นชายร่างสูงใหญ่อยู่ในห้องนอนของตน
สีหน้าเขาเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดสร่างเมาทันที คว้ามีดได้ก็เตะประตูห้องเปิดออก
เสียงนั้นดังจนปลุกทุกคนในบ้าน
เว้นเพียงหลี่เว่ยหยางที่ยังนอนปิดตาเงียบเงี่ยหูฟังสถานการณ์ภายนอก
นางได้ยินเสียงเนื้อกระทบเนื้อเหมือนใครบางคนถูกตบหน้าอย่างแรง
จากนั้นจึงได้ยินเสียงโจวชิงตะโกนลั่น
"นังหญิงสำส่อน
เจ้าอาศัยช่วงที่ข้าไม่อยู่บ้าน แอบพาชายชู้ขึ้นเตียง! เจ้าไม่มียางอายบ้างหรือ!
อะไรนะ? เจ้าบอกว่าเจ้าไม่รู้เรื่องงั้นหรือ?
ข้าเห็นชายชู้วิ่งออกมาจากห้องเจ้ากับตา
ยังกล้าหน้าด้านบอกว่าไม่รู้เรื่องอะไรอีกหรือ ถ้าวันนึงมันมาฆ่าข้า
เจ้าก็คงจะบอกว่าไม่รู้เรื่องเหมือนกันสินะ"
สิ้นสุดคำพูดนั้น
ก็มีเสียงตบอีกสองฉาด แน่นอนว่าผู้ที่กำลังถูกสั่งสอนอยู่ก็คือนางหลิว
ไม่คิดจะฟังคำแก้ต่างของภรรยา
โจวชิงตวาดอีก "คุกเข่าลงเดี๋ยวนี้! บอกข้ามาว่าชายชู้นั่นเป็นใคร!
ถ้าเจ้าไม่ยอมพูด คืนนี้จะเป็นวันตายของเจ้า!"
จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงนางหลิวร้องไห้อ้อนวอน
"ข้าถูกปรักปรำ! ข้าจะทำตัวไร้ยางอายเช่นนั้นได้อย่างไร?"
ในห้องนั้น
โจวชิงถ่มน้ำลายใส่นางหลิวแล้วว่าต่อ "ถูกปรักปรำหรือ? ใครจะต้องการปรักปรำเจ้า?
ใครในที่นี้ที่มีความแค้นจนคิดปรักปรำเจ้า?" เขาลงมือตบตีนางอีก
นางหลิวไม่ยอมแพ้
นางคว้าแขนเสื้อสามีไว้ข้างหนึ่งแล้วสู้กลับ
โจวชิงยิ่งโมโหหนัก
เขาใช้มือเพียงข้างเดียวจิกผมนางหลิว แล้วลากนางไปตามพื้น
ทั้งตบตีและด่าว่านางไปพร้อมกัน "เจ้าทำให้ชื่อเสียงสกุลโจวต้องมัวหมอง!"
ในความเป็นจริง นางหลิวได้แอบคบชู้สู่ชายจริงๆ พวกเขาจะแอบนัดพบกันยามที่สามีและลูกชายนางไม่อยู่บ้าน
ผ้าแดงบนรั้วนั้นเป็นรหัสลับของพวกเขา คืนนี้นางไม่ได้เป็นคนผูกผ้าแดงแต่ชู้รักกลับเข้ามาหาถึงในบ้าน
ขณะที่นางกำลังพาชายชู้ออกไปทางประตูหลัง สามีก็กลับมาถึงบ้านเสียก่อน
ยามนี้
อกนางราวกับมีธนูเป็นพันดอกปักอยู่ นางไม่อาจหลบหลีกการทุบตีของโจวชิงได้เลย จึงรวบรวมกำลังวิ่งหนี
โจวชิงคำราม
"นังแพศยา กลับมานี่นะ!"
เขาวิ่งตามนางมาถึงตรงลานบ้านแล้วจิกผมนางไว้
นางหลิวร้องครางแล้วล้มตัวลงพื้น
โจวชิงกำลังจะลงมือสั่งสอนนางต่อ
แต่โจวเจียงบุตรชายวิ่งออกมาห้าม "ท่านพ่อ ท่านพ่อ! หยุดก่อน
หยุดเถอะครับ! ท่านแม่ไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นแน่! กลับเข้าบ้านไปคุยกันก่อนเถิด!"
นางหลิวได้ยินดังนั้นก็เข้าใจความหมายของลูกชายทันที
นางระเบิดเสียงร้องไห้ออกมาอีก ตั้งใจให้เกิดเรื่องราวใหญ่โตขึ้นจนโจวชิงไม่กล้าทำรุนแรง
"ท่านดื่มเหล้าเมากลับมาบ้านจนเห็นภาพหลอนไปเอง! แล้วอยู่ๆท่านก็จะมาใส่ร้ายข้า!"
โจวชิงหัวเราเยาะ
"ใส่ร้ายเจ้า? ข้าเนี่ยนะ! คืนนี้ข้าดื่มเหล้าไปแค่ครึ่งไหเท่านั้น
ไม่ได้เมาจนแยกชายหญิงไม่ออกแน่! ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าแก่ปูนนี้แล้วยังกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้อีก
หลายปีมานี้ข้าไม่ค่อยได้กลับบ้าน ไม่รู้ว่าเจ้าพาชายชู้มาเริงรักกันกี่ครั้งแล้ว!
ยังจะมาแกล้งตีหน้าซื่อต่อหน้าข้าอีกหรือ?"
"ได้
หากท่านไม่เชื่อ ข้าก็จะฆ่าตัวตายให้ดู! ข้าตายไปก็ขอให้รู้ไว้ว่าเป็นเพราะถูกท่านบีบบังคับ!"
นางหลิวเป็นหญิงยโส นางกระโดดลุกขึ้นตั้งใจจะเอาศีรษะชนกำแพง
แต่โจวชิงไวกว่า
รีบคว้าแขนทั้งสองข้างของนางไว้ "เจ้ากล้าขู่ข้าด้วยการฆ่าตัวตายงั้นหรือ?"
เขาเหวี่ยงนางลงพื้นแล้วเตะเข้าที่อก ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
เขาหมุนตัวหยิบสลักประตูได้ก็เอามาทุบตีนางหลิวอีก
เสียงครวญครางของนางหลิวไม่ต่างจากหมูที่กำลังถูกเชือด
ดังก้องกังวานไปทั่วบริเวณ
หลี่เว่ยหยางพลิกตัวบนเตียง
มุมปากยกยิ้มขึ้นเล็กน้อย นี่สิถึงเรียกว่า บาปที่เรากวักมือเรียกหาเองนั้นเลวร้ายที่สุด
เสียงดังเอะอะโวยวายทำให้เพื่อนบ้านเปิดรั้วออกมาดูเหตุการณ์
นางหม่ากับโจวหลานซิ่วนั้นยังคงอยู่ในห้องของตน
ทั้งคู่ได้ยินเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้ว แต่นางหม่าเป็นเพียงสะใภ้ ไหนเลยจะกล้าเข้าไปยุ่งกับเรื่องอื้อฉาวในครอบครัว
ส่วนโจวหลานซิ่วอยากจะออกไปช่วยมารดา แต่เมื่อเห็นสายตาอำมหิตของบิดาแล้ว
นางก็ไม่กล้าขยับออกจากห้อง
โจวเจียงมองดูรอบข้างแล้วก็รีบเข้าไปห้ามโจวชิง
เขากล่าวเสียงดัง "ท่านพ่อ ท่านแค่ดื่มมากไป ยามนี้ก็ดึกมากแล้ว
อย่าก่อเรื่องวุ่นวายรบกวนเพื่อนบ้านเลยครับ" กล่าวจบเขาก็เดินมาคว้าสลักประตูไปแล้วดึงบิดามาด้านข้าง
กระซิบบอก "ท่านพ่อ ใจเย็นแล้วค่อยพูดกันเถิด
ถ้าท่านอยากจะลงไม้ลงมือก็ควรทำในบ้าน อย่าให้เพื่อนบ้านต้องมาเห็นเรื่องน่าอายเช่นนี้เลย"
โจวชิงมองดูนางหม่า เขาทุบตีนางจนนางได้แต่นอนหอบหายใจ
แต่ความแค้นก็ยังไม่ดับมอด เขายกขาเตะบุตรชายอย่างแรง "ข้าไม่อยู่
เจ้ากลับดูแลบ้านไม่ได้ ปล่อยให้เรื่องน่าอายแบบนี้เกิดขึ้น! ลากนางเข้ามา!"
โจวเจียงระงับความโกรธแล้วช่วยพยุงมารดาเข้าบ้าน
นางหลิวเป็นคนหยิ่งยโส ถึงจะโดนทุบตีปางตายก็ยังปากแข็งยืนยันว่าตนเองบริสุทธิ์ ร้องไห้คร่ำครวญไม่ยอมหยุด
ครู่ต่อมา เสียงดุด่าของโจวชิงก็ดังขึ้นอีก
"หุบปาก! ดึกป่านนี้แล้ว
เลิกคร่ำครวญอย่างกับใครจะตายเสียที!"
เสียงร้องเงียบลงในฉับพลัน
ได้ยินดังนั้น
หลี่เว่ยหยางก็ไม่อาจกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไป.
